วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548

สะพายเป้ หิ้วกล้อง ท่องเคแอล (KL) & โกตาบาห์รู (Kota Bahru) ตอน 2 นั่งแอร์เอเชียมาเลย์ 0 บาท จากกัวลาลัมเปอร์ไปลงโกตาบาห์รู พัก Perdana Resort ณ หาดแสงจันทร์ (Moonlight beach)


รุ่งขึ้นของวันที่ 2 ในทริปนี้ผมต้องตื่นแต่เช้ามืด เนื่องจากต้องไปให้ทันเครื่องออกจากสนามบิน KL เวลา 7.00 น.เพื่อไปยังโกตาบาห์รู ทางเจ้าของโฮสเทลได้จองรถแท็กซี่ให้ผมแล้ว รถมารับตอนตีสี่ครึ่ง ค่าแท็กซี่จะชาร์ตอีก 10 RM เนื่องจากยังไม่ถึง 6.00 น. ผมเข้าใจดี


จากตัวเมืองมา KLIA ในเช้าวันนี้ทำเวลาได้ดีมาก เนื่องจากยังเช้าอยู่รถไม่ติด ผมนั่งหลับภายในรถแท็กซี่จนมาตื่นตอนที่โชเฟอร์บอกว่าถึงแล้วนั่นเอง ไม่รอช้าเข้าไป check-in ที่ row 1 สำหรับไฟล์ภายในประเทศ


เช้าๆอย่างนี้ ผู้คนเริ่มทะยอยมา check-in กันมากขึ้น อากาศภายในสนามบินเย็นดีครับ


มื้อเช้า ลองทานอาหารแบบอิสลามของมาเลย์มั่ง หน้าตาสีสันค่อนข้างถึงเครื่องเทศ แต่ไม่เผ็ดมาก เครื่องดื่มเป็น KOPI กาแฟสูตรเด็ดของที่นี่


หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จก็เดินเข้ามานั่งรอเครื่องบินด้านใน


มาแล้วครับ ลำที่จะพาผมไปเมืองโกตา บาห์รู ที่นี่นับว่าเป็นรังของ AirAsia โดยแท้จริงครับ มองไปที่ไหนมีแต่เครื่อง Airasia กับ เครื่องของสายการบินแห่งชาติของมาเลย์คือ Malaysia airline จอดอยู่พอๆกัน


เตรียมแล่นออกไป take off แล้วครับ พระอาทิตย์กำลังขึ้นพอดี


เหินฟ้าแล้วครับ ขอไปงีบก่อน


พอเครื่องบินได้ระดับ มองออกไปนอกกระจกเห็นรุ้งกินน้ำแบบวงกลมอยู่บนผืนเมฆด้วย แปลกตาดีครับ ไม่เคยเห็นมาก่อน


ประมาณ 1 ชม.สายการบินแอร์เอเชียก็พาผมมาถึงเมืองโกตา บาห์รู ที่นี่เป็นสนามบินเล็กๆครับ แต่ดูสะอาดตา


ผมว่าแท็กซี่ที่สนามบินให้ไปส่งที่รีสอร์ทแห่งนี้ที่อยู่ไกลออกไปประมาณ 11 กม. รีสอร์ทมีชื่อว่า Perdana Resort


รีสอร์ทแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทะเลจีนใต้ซึ่งจริงๆแล้วก็คือแนวเดียวกับอ่าวไทยของเรา ชายหาดที่นี่มีชื่อว่า Moonlight Beach หรือแต่ก่อนรู้จักกันในนาม Beach of Passionate Love
สีของรีสอร์ทดูแล้วก็ให้กลับคิดถึง By the Sea รีสอร์ทที่ตั้งอยู่แถวหาดบานชื่น จ.ตราด จริงๆ


ราคาที่พักตกคืนละประมาณ 1,300 บาท ผมพักหลังนี้แหล่ะ


ภายในห้องนอน


ในห้องจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครับ TV , ตู้เย็น ส่วน TV นั้นสามารถรับสัญญาณภาพจากประเทศไทยได้เป็นบางช่องด้วย เนื่องจากที่นี่ตั้งห่างจากชายแดนไทยประมาณ 100 กม.เท่านั้นเอง


ชายหาดที่นี่หรือ Moonlight Beach นั้นไม่สวยครับ ที่ทรายเต็มไปด้วยซากกาบมะพร้าว ลูกมะพร้าว และสิ่งของอื่นๆ แต่มันก็แลกด้วยความสงบครับ


ผมเดินเล่นแถวๆรีสอร์ท มองเห็นทุกหลังบนหลังคาจะมีเจ้าตัวนี้ติดตั้งอยู่ น่าจะเป็นแผงโซล่าเซลล์ ซึ่งผมมองว่าเขาช่วยกันเลือกใช้พลังงานอย่างถูกต้องจริงๆครับ เพราะตอนกลางวันที่นี่จะมีแสงแดดค่อนข้างมาก เดินไปก็ร้อนไป


เดินเข้ามาบริเวณล็อบบี้ของรีสอร์ทก็จะมีประวัติศาสตร์เมื่อครั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งคงเจอทหารญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกคล้ายๆกับที่เกิดในไทยเรา


จะไปเมืองไปไหนในโลกดูได้ที่ป้ายนี้ครับ กรุงเทพฯของเราอยู่ห่างออกไป 1,504 กม.


พอตกเย็น ผมเดินมานั่งทานอาหารที่ร้านอาหารที่นี่ ทานไปก็ชมวิวยามเย็นของชายหาดไป


ตกเย็นคลื่นเริ่มแรงแล้ว


ลมทะเลพัดแรง ดูได้จากใบมะพร้าวที่ไหวโอนไปตามสายลม


เดินไปเรื่อยๆตามชายหาดแสงจันทร์ก็ได้เจอะเจอกับชาวบ้านที่ออกมาตกปลากัน บางคนก็นั่ง บางคนก็นอน เพื่อจะรอปลามาติดเบ็ด


เด็กๆก็มาเล่นตกปลาเหมือนกัน


เดินเตร็ดเตร่ไปมาแสงอาทิตย์ชักเริ่มจะลับขอบฟ้าไปแล้ว


หลังจากได้ไอทะเลจากการเดินริมชายหาด ผมก็ต้องไปชำระร่างกาย และแต่งตัวออกมาข้างนอกอีกครั้งเพื่อทานอาหารมื้อค่ำพร้อมๆกับชมพระจันทร์เต็มดวงที่นี่ คืนนี้คงหมดไปกับการดื่มด่ำไปกับบรรยากาศเงียบสงบที่รีสอร์ทแห่งนี้


เช้าวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 3 ของทริป ผมตื่นสายหน่อย เพื่อใช้เวลาให้คุ้ม ต่อจากนั้นจึงลารีสอร์ทแห่งนี้เพื่อกลับไปตัวเมืองโกตา บาห์รูอีกครั้ง มีพนง.โรงแรมที่นี่ใจดีขับรถพาผมจากรีสอร์ทมารอรถเมล์ที่ปากทางเข้า พร้อมกับบอกสายที่จะไปตัวเมืองให้เสร็จสรรพ


ระหว่างทางมีแต่ชาวบ้านที่เลี้ยงแพะ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นบ้านนอกของมาเลย์เขา เพราะดูสภาพบ้านเรือนแล้วยังไม่ค่อยเจริญ สักพักรถเมล์ก็พาผมมาถึงที่ตัวเมืองจนได้ อากาศยามเที่ยงร้อนอบอ้าวมาก


ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่เรียกได้ว่าเกิน 90% เป็นมุสลิม โดยหญิงจะคลุมผ้า แม้กระทั่งชุด uniform ก็ทำลวดลายให้เหมือนกัน


ที่นี่ไม่มีแหล่งท่องเที่ยวเลย ผมเดินเตร็ดเตร่กับอากาศร้อนๆตามท้องถนนอยู่หลายชั่วโมง บ่ายแก่ๆก็เดินมารอรถเพื่อจะไปยังสนามบิน และนั่งเครื่องกลับที่ KL อีกครั้ง


เกือบ 20 นาที รถก็มาส่งยังสนามบินโกตา บาห์รู


ภายในสนามบินตกแต่งแนววัฒนธรรมแบบมาเลย์เอง  แต่ว่าวที่เห็นมันคล้ายๆว่างจุฬาของเรานะ


อีกรูปหนึ่งที่เป็นรูปวาดแขวนไว้ผนังของอาคารผู้โดยสารขาออก ก่อนที่ผมจะลาเมืองแห่งนี้


หลังจากเดินทางแบบสะบักสะบอม สุดท้ายก็กลับมาถึง KL จนได้ แท็กซี่พาผมตระเวนหา Hostel อีกที่ในย่าน Bukit Bintang จนมาเจอก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว แต่ยังดีที่มีเตียงนุ่มๆแบบนี้รอ 

เป็นที่น่าเสียดายที่ตอนต่อไปไม่สามารถเขียนต่อได้ เนื่องจากรูปต้นฉบับหายไปแล้วครับ เลยขอจบเพียงเท่านี้ แต่คร่าวๆ วันรุ่งขึ้นผมไปขอบัตรคิวขึ้นตึกแฝดปิโตรนาสที่เขาให้ขึ้นฟรีชั้น 41 ที่มีสะพานกลางเชื่อมตึกทั้ง 2 อยู่ ถ้าอยากขึ้นฟรีต้องไปเช้าๆนะครับ

Original Published on http://www.pantip.com at [ 15 ต.ค. 48 20:06:09 ]



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น