วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2548

โกตา คินาบาลู...หนทางสู่การพิชิตยอดเขาที่สูงที่สุดของ South East Asia(หรือเปล่า?) ตอน 4 เดินชมเมืองโกตาคินาบาลู ก่อนจะบินกลับไทยในช่วงดึก


วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เราจะยังอยู่ที่ KK ขนาดก่อนนอนเราทา Counterpain ที่ขาก่อนนะเนี่ย แต่ตื่นขึ้นมาอาการก็ยังไม่ดีขึ้นครับ เราทั้งสองกล้ามเนื้อตึงไปตามๆกัน นั่งแล้วลุกไม่ได้ หรือยืนแล้วลงนั่งยากมาก แต่ก็ต้องพยายามเดินถัดๆไป วันนี้ตื่นค่อนข้างสายเนื่องจากต้องการพักผ่อนให้มากที่สุด 


เรา check out ก่อนเที่ยงไม่กี่นาที แต่เอาสัมภาระทั้งหมดฝากเขาไว้ก่อน เนื่องจากเราจะไปเดินเล่นตามสถานที่ต่างๆในเมืองนี้ มื้อเช้านี้เริ่มด้วยแกงกระหรี่ไก่ ซึ่งราคาก็สมน้ำสมเนื้อ พอๆกับในไทยเรา


พอท้องอิ่มก็เริ่มเดินย่อยอาหารกันหน่อย โดยข้ามฝั่งไปเดินในห้าง WISMA COMPLEX ซึ่งมีของต่างๆขายอยู่ ซึ่งทุกที่ก็ต้องมี นั่นคือมือถือแบบต่างๆ ซิมการ์ด, อาหาร


เราเดินเลือกหาของที่ระลึกเพื่อจะซื้อไปฝากเพื่อนๆที่ประเทศไทย แต่ดูแล้วยังไม่ค่อยมีเท่าไหร่ เลยไปหาโปสการ์ดแทน ก็ยังได้แบบที่ยังไม่ค่อยถูกใจเลยซื้อมาแค่ 1 ใบแต่ซื้อสแตมป์มา 6 ดวงด้วยกัน ดวงละ 1 RM แล้วจะไปหาซื้อโปสการ์ดที่อื่นแทน


มองย้อนไปก็จะเห็นโรงแรมที่พักเมื่อคืน นั่นคือโรงแรมนานซิง ดูข้างนอกอาจจะธรรมดา แต่ข้างในโอเคเลย สักพักผมก็ได้รับ SMS จากแอร์เอเชีย บอกว่าไฟล์ทที่จะกลับในเวลา 21:40 น. จะดีเลย์เป็น 23:50 น. โอเคที่ยัง SMS มาบอก ไม่งั้นคงต้องเสียอารมณ์แย่เลย


วงเวียนรูปปลาทะเลที่เป็นสัญลักษณ์ของที่นี่ ตั้งอยู่ติดทะเลจีนใต้


ขอผมถ่ายด้วย


อีกด้านหนึ่งเมื่อมองมาจากทะเล ปลาอะไรครับ ใครบอกได้บ้าง?


ทะเลที่นี่ไม่มีชายหาดที่สวยงามเหมือนบ้านเรา เราจึงได้แต่นั่งดูคลื่นกระทบตลิ่ง


บรรยากาศส่วนใหญ่ก็จะมีพวกเรือประมง และคนที่ชอบตกปลามาตกกันในวันหยุด ที่เห็นไกลๆนั้นเป็นเกาะ Manukan สามารถนั่งเรือข้ามฝั่งไปได้ (คลิกเพื่อดูภาพใหญ่)


ช่วงบ่ายๆ เราก็ย้ายตัวเราเองโดยค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ ตามถนนเลียบทะเลจีนใต้ ไปเจอเอา Shopping Complex อีกที่หนึ่งซึ่งใหม่กว่า WISMA โดยมีชื่อว่า KK Plaza เราเข้าไปเพื่อรับแอร์เย็นๆจากห้างโดยได้ไปนั่งที่ร้านกาแฟร้านหนึ่งชื่อ Coffee Culture 


ตามสไตล์ของผมแล้ว ต้อง Ice Cappuccino อย่างเดียวเท่านั้น รู้สึกจะราคาไม่ถึง 40 บาทด้วยซ้ำ



นั่งที่นี่สักประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็ย้ายตัวเองไปที่อื่นบ้าง โชคดีที่พบร้านขายโปสการ์ดและของที่ระลึกซึ่งอยู่ติดกับร้านกาแฟนี้เลย ทำให้ไม่ต้องเดินไปไกล
พอออกมาจากห้างก็เริ่มที่จะมืดแล้ว เราเดินไปตามเส้นทางถนนเลียบทะเลเรื่อยๆ จะเจอร้านขายของต่างๆมากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นของกิน สักพักผมก็เดินเลี้ยวกลับมาอีกถนนหนึ่ง


ถนนแถวนี้ขายเสื้อผ้ากับของเบ็ดเตล็ดเยอะ เราเดินไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน


พอถึงเวลาก็เดินลัดเลาะกลับไปที่พักที่ได้ฝากของไว้ บรรยากาศตัวเมืองจะสงบ แต่ไม่เงียบจนเกินไปนัก


เราไปเก็บของที่ฝากไว้ แล้วก็จับแท็กซี่ในราคา 13 RM ไปสนามบินเลย เนื่องจากไม่รู้จะไปไหนแล้วอยากนั่งอย่างเดียว ด้วยความไม่รู้ทั้ง 2 ฝ่ายทั้งผมและคนขับแท็กซี่ ปรากฎว่าแท็กซี่ก็ไปส่งที่ Terminal 1


ผมเองก็ดูโทรทัศน์วงจรปิด มันแสดงว่าไฟล์ทที่จะไปเนี่ยจะจอดที่ T2 แต่ด้วยความที่สงสัยก็เลยไปสอบถามว่า T2 อยู่ไหน ใช่ที่นี่หรือเปล่าเพื่อความแน่ใจ แต่คนคอยสกรีนกระเป๋าก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกให้ไปถามที่ Information Center แต่ที่นั่นก็ไม่มีคนอยู่เลย เลยคิดไปเองว่าเมืองเล็กๆอย่างนี้น่าจะมีที่เดียวมั้ง เคาน์เตอร์เช็คอินก็ผีหลอก ไม่มีคนเลย


พอรอไปประมาณ 2 ชั่วโมงจนถึงเกือบ 5 ทุ่ม ก็แปลกใจอีกครั้งว่ามีแต่นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นมา check in อย่างเดียวเลย เคาน์เตอร์ check in เราทำไมยังไม่เปิดซะที จึงไม่ได้การแล้ว เดินกระเผลกไปถาม Information Center อีก คราวนี้มีคนอยู่ ปรากฎว่าผมมาผิด Terminal ! ที่นี่ Terminal 1 ถ้า T2 ต้องเดินลงไปแล้วขึ้นแท็กซี่ไปอีก ถามว่าเดินไปได้มั๊ย ได้รับคำตอบว่า impossible ตกลงตาลีตาเหลือกเดินลงบันไดแล้วไปซื้อตั๋วแท็กซี่ราคา 13.5 RM เพื่อไปยัง T2 อีกครั้ง แงๆ คราวนี้เสีย 2 ต่อเลย 

สุดท้ายก็มาถึง T2 ได้ check in เสร็จก็เข้าไปรอข้างใน ได้เจอกับน้องคนไทย 2 คนดังกล่าวและพรรคพวกเขาอีกกว่า 8 คน น้องรามมาจับไม้จับมือใหญ่ในความสำเร็จที่พิชิตยอด Lows's Peak ได้ ผมโม้ใหญ่เลย สุดท้ายก็แลกนามบัตรและ email เพื่อผมจะได้ส่งรูปไปให้น้องเค้า เป็นอันว่า ทริปนี้จบลงด้วยดีมั้ง? ได้อาการกล้ามเนื้อตึงที่ขามาเป็นของแถม แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมได้มากกว่านั้น นั่นคือประสบการณ์ที่น้อยคนจะสัมผัสถึงนั่นเองครับ

เครดิต
=================================
บุคคล
- คุณเอื้องน้ำต้น จาก trekkingthai.com
     ที่ให้ข้อมูลต่างๆนานาทั้งรูปภาพที่ไปมาแล้ว การให้กำลังใจในการจองที่พัก โดยสุดท้ายได้คุยกันทางมือถือเพื่อปรึกษาในการเตรียมตัวเพื่อความพร้อมในการไปถึงที่นั่น
- Ms Suzie officer ของ WAH MAY HOTEL
    ที่ช่วยไปหาข้อมูลที่พักของ Suterasanctuarylodges ว่าเต็มจริงๆ
- น้องราม
    ที่ให้แลกเงินในยามที่คับขัน และคอยรอผมในวันที่จะขึ้น summit
- Officer ผู้ชาย ของ NAN XING HOTEL
    ที่ช่วยซื้อสแตมป์และจะส่งโปสการ์ดให้ในวันจันทร์
- สุดท้าย ไกด์ของผม Lapilin Wido
        ที่ช่วยดูแลตลอดทางทั้งแบกเป้ให้ อำนวยความสะดวกต่างๆ ช่วยพาผมขึ้นไปถึงที่หมาย มาเคาะประตูตอนตี 2 ประสานงานยกเลิกเส้นทาง Mesilau แล้วให้มารับที่ Timpohon แทน ช่วยหาแท็กซี่ให้ผมได้กลับไปตัวเมือง KK

WEBSITE
- http://www.airasia.com
  ที่ให้ราคาตั๋วที่ผมเข้าถึงได้เพียง 1,300 บาท/เที่ยว
- http://www.suterasanctuarylodges.com
  ที่เจอลูกอ้อนของผมจนมีคนยกเลิกที่พักแล้วผมเข้าไปพักได้ทันพอดีในวันดังกล่าว
- http://www.trekkingthai.com
  ที่ให้ข้อมูลการท่องเที่ยวแบบแบ็คแพ็ค
- http://www.mrbackpacker.com
  ที่มีข้อมูลละเอียดยิบโดยให้สามารถ download แบบไม่เสียเงิน เป็นคู่มือที่เยี่ยมยอดจริงๆ
- http://www.wahmayhotel.com
  ที่ทำให้ผมมีที่พักตอนไปถึงที่นั่นในวันแรก

สุดท้าย ต้องขอโทษด้วยที่ผมอาจกล่าวไม่ครบ และท้ายสุดจริงๆ ที่ผมได้ตั้งชื่อตอนว่า "ยอดเขาที่สูงที่สุดของ South East Asia(หรือเปล่า ?)" นั่นก็เพราะว่า มันไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุดใน SEA จริงๆ เพราะจากการหาข้อมูลเพิ่ม ยังมียอดเขาในประเทศพม่าที่สูงกว่านี้และเป็นยอดที่สูงที่สุด แถมมีหิมะตกด้วยซ้ำ! แต่เพราะประเทศพม่าไม่ได้เปิดประเทศจึงยังไม่มีการขึ้นไปยังจริงๆจังๆ มาเลเซียเลยได้เอาชื่อนี้ไปโฆษณากันอย่างแพร่หลายเพื่อให้นักท่องเที่ยวที่เห็นข้อความดังกล่าวอยากไปพิชิตยอดให้ได้ ถือว่าเป็นการโฆษณาทางด้านการท่องเที่ยวอย่างชาญฉลาด แต่ถ้าพม่าเปิดประเทศแล้ว ยอดเขาได้เปิดให้พิสูจน์และวัดความสูงจริง พม่าอาจกลับมาเคลมยอดที่สูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปก็เป็นได้ รอวันนี้นอยู่เหมือนกัน

บันทึกภาพประทับใจโดย
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
Camera : Canon Powershot A95
Shooting mode : P without flash
ISO : 50 on Day , 400 on Night
Effect : Vivid
Size : M1 with Superfine

Original Published on www.pantip.com at  [ 16 ม.ค. 48 19:26:11 ]


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น