โปรแกรมสถานที่ท่องเที่ยวที่จะไปชมมีดังนี้
พระราชวังบ๋าวได๋(Dinh Bao Dai) - โบสถ์ดาลัท(Cock Church or Evangelical Church) - นั่งกระเช้าชมเมืองมุมสูง(วัดตั๊กลอม) - เล่นรถรางไปน้ำตกดาทันลา(Datanla Waterfall via Roller Coaster) - หุบเขาแห่งความรัก(Valley of Love) - บ้านเพี้ยน(Crazy House)
หลังจากเมื่อวานดึกได้ขึ้นรถบัสนอนจากท่ารถแถวๆที่พักบริเวณ Pham Ngu Lao รถก็แล่นไปตามทางเรื่อยๆ โค้งไปตลอดทางและขึ้นเขา ผมได้มีเวลานอนหลับจริงๆ เพราะเบาะมันเอนประมาณ 170 องศา ทำให้หลับสบาย แต่ระหว่างทางรถก็จอดพักครึ่งทางประมาณ ตี 1-2 โดยจอดประมาณ 20 นาที ให้คนโดยสารลงไปเข้าห้องน้ำและคนขับรถก็ลงไปทานอาหารด้วย แต่เราไม่ได้ลงไปเพราะขี้เกียจขึ้นๆลงๆ บวกกับอากาศที่เย็นด้วย เลยนอนอยู่เฉยๆ หลังจากนั้นพอใกล้ถึงสถานีขนส่งดาลัททางเด็กรถก็เดินมาทุบที่ขาเบาๆคล้ายๆจะบอกว่าใกล้ถึงแล้ว คราวนี้ก็ได้เวลาตื่นนอนและเตรียมตัวกัน
รถมาจอดเทียบท่าที่สถานีขนส่งดาลัทตอนประมาณตี 4 ครึ่ง สัมผัสแรกเมื่อออกจากตัวรถเจออากาศภายนอกคือ อากาศหนาวมากๆ เสื้อแขนสั้นนี่ขนลุกสู้เลย พอเอาสัมภาระออกจากด้านข้างรถเสร็จก็จะมีรถมินิบัสมารอรับนักท่องเที่ยวที่จองโรงแรมต่างๆในดาลัทเพื่อนำส่งแต่ละคนให้ถึงโรงแรมนั้นๆโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกแล้ว(ถ้าเป็นพี่ไทยก็คงต้องเสียค่ารถกันอีกครั้ง 10-20 บาทก็ว่ากันไป) ในรถมินิบัสที่แล่นไปส่งตามโรงแรมในดาลัทก็เป้นนักท่องเที่ยวไทยเกือบจะ 100% ก็ชุดเดิมที่เดินผ่านกันที่โฮจิมินห์ในเมื่อวานนี้
เราจองโรงแรมทิวลิปไว้(770.69 บาท/คืน) เพราะรีวิวใน Agoda ดีทีเดียว แถมอยู่ไม่ไกลจากของกินด้วย อันนี้สำคัญนะครับ จะได้ไม่ต้องเดินหาของกินไกล เราเข้าไปเช็คอินประมาณตี 5 มีคนนอนที่รีเซฟชั่นอยู่ 1 คนคอยรอนักท่องเที่ยวที่มาเช้าๆแบบเรา เรายังเข้าห้องไม่ได้ตามปกติเพราะยังไม่ถึงเวลา แต่ขอใช้ห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านชั้นใต้ดินอาบน้ำได้ ไม่เสียเงิน ก็อาบน้ำกันเพื่อเปลี่ยนชุดใหม่เตรียมเที่ยวตามโปรแกรมสำหรับเช้านี้ 8 โมงกันเลย โดยจะมีรถมารับเราที่โรงแรม
ได้เวลาทานอาหารเช้ากันแล้ว ฝั่งตรงข้ามเป็นร้านอาหารและเบเกอรี่เดินขึ้นไปสั่งอาหารเช้าทานกันเลยครับ ขึ้นไปชั้น 2 ตามบันได้ด้านขวามือของร้าน
แฟนผมสั่งบั๋นหมี่ หรือแซนวิชไส้ต่างๆของเวียดนามตามแต่เราจะสั่ง ลองชิมแล้วอร่อยจริงๆ
ส่วนผมบะหมี่น้ำทะเลทั้งกุ่งทั้งปลาหมึกมีหมด รสชาติก็อร่อยใช้ได้ไม่เหมือนรสชาติอาหารที่เวียดนามเหนือ
มาเวียดนามแล้วต้องลองกาแฟสดแบบฉบับของเวียดนามเขา เป็นแบบ drip กรองน้ำที่ผ่านเมล็ดกาแฟที่คั่วและบดแล้วลงสู่ถ้วยด้านล่างที่รองไว้ รสเข้มข้นดีครับ
ทานเสร็จก็ได้เวลาเดินสำรวจดาลัทก่อนทัวร์จะมารับ ตอนนี้ 7 โมงกว่าๆเอง อากาศเย็นสบาย ชอบที่สุดเลย เดินผ่านอาคารอะไรสักอย่างอยู่ใจกลางเมืองบนเนินเขา
ข้ามถนนมายังฝั่งที่จะลงไปตรงวนเวียนด้านล่าง เริ่มเห็นคนขายผลไม้กันแล้ว
เดินตรงไปที่วงเวียนและเลี้ยวขวาไปตามทางก็จะเป้นตลาดดาลัทกันแล้ว ขายของกันเยอะเลย ทั้งพืชพรรณต้นไม้เมืองหนาวเอย กระเช้าดอกไม้สวยๆเอย
ผลไม้ก็เยอะ มีแม่ค้าหาบมาขายกันหลายเจ้าทีเดียว องุ่นเม็ดใหญ่ๆน่ากิน หรือจะลองฝรั่งก็ได้
เดินไปเรื่อยๆจะเห็นสวนดอกไม้สีสดมากๆ คล้ายๆกับสวนสาธารณะบริเวณนี้
หลังจากเดินเที่ยวตลาดดาลัทเสร็จก็ไปนั่งรอทัวร์ที่จะมารับตอน 8 โมงที่ล๊อบบี้โรงแรมครับ ดูนาฬิกา 8 โมงแล้วก็ยังไม่มาก็เลยให้เจ้าหน้าที่โรงแรมโทรไปถามให้หน่อย ปรากฎว่ากำลังไปรับนักท่องเที่ยวชุดอื่นอยู่เดี๋ยวมา
มาถึงประมาณ 8 โมงครึ่งครับ ฝนดันตกปรอยๆแต่ไม่มากนั้น พอขึ้นรถก็ปรากฎว่าเจอคนไทยอีกแล้วครับ และวนไปรับนักท่องเที่ยวอีก 2-3 กรุ๊ปก็เป็นคนไทยเกือบหมดคันเลย เป็นชาวจีนหรือเวียดนามเองเพียงแค่ 3 คนเท่านั้น
สถานที่แรกที่จะพาไปคือพระราชวังฤดูร้อนบ๋าวได๋ เป็นที่พำนักของจักรพรรดิองค์สุดท้ายของเวียดนาม สร้างอยู่ใต้ร่มเงาของทิวสนใหญ่บนเนินเขา
ก่อนเดินเข้าไปชมจะต้องใส่ที่คลุมรองเท้าแบบนี้ก่อนครับ เพื่อกันสิ่งสกปรกจากรองเท้าไปเลอะเทอะพระราชวัง ดีครับเพราะถ้าให้ถอดรองเท้าอาจมีหายก็เป็นได้ พระตำหนักดอยตุงก็เป็นแบบนี้นะครับ
เข้าไปขมภายในกัน โดยภายในจะมีห้องต่างๆมากมาย แต่ละห้องก็จะมีการตกแต่งโทนสีห้องนอนหลากสี สีชมพู สีฟ้าอ่อน ห้องรับแขก และสิ่งที่มาเวียดนามแล้วต้องเจอเกือบทุกครั้งในสถานที่ดังๆคือ การถ่ายพรีเวดดิ้งครับ มาที่นี่ก็เจอ หลังจากที่เจอเมื่อวานตอนไปไปรษณีย์กลางที่ไซ่ง่อน
พระราชวังนี้จะมี 2 ชั้น กว้างขวางมาก โดยมีห้องให้ถ่ายชุดเป็นฮ่องเต้และซูสีไทเฮาด้วยนะครับ แต่ต้องเสียเงินเช่าชุด แต่ไม่ได้แพงอะไรมากหรอก
อีกรูปหนึ่งก่อนจะจากลาพระราชวังไปสถานที่อื่นต่อไป
สถานที่ที่ 2 ที่เราไปคือโบสถ์ดาลัท( Cock Church or Evangelical Church or Nhà thờ chính tòa Đà Lạt) โบสถ์คริสต์สีชมพูส้มแห่งนี้ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1940 เป็นโบสถ์ของชาวคริสต์โปแตสแตนท์ จะโดดเด่นในด้านการก่อสร้างและตกแต่งสไตล์ตะวันออก เป็นโบสถ์ใหญ่สุดในเมืองดาลัท มีไก่ตัวใหญ่ๆอยู่บนหอคอยนาฬิกา
เข้าไปภายในกันก็จะเห็นกระจกสีทั้ง 2 ข้างสวยงาม พูดก็พูดเถอะครับว่า ถ้าไปโบสถ์คริสต์เราคนไทยเองก็ไม่มีไอเดียกับที่นี่เท่าไหร่นะเพราะเราไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ เลยแบบบางทีมาทำไมหว่า อะไรทำนองนั้น
สถานที่ที่ 3 ที่ไปคือการไปนั่งกระเช้าชมวิวมุมสูงของเมืองดาลัทครับ ตรงนี้เป็นกำแพงแบบนูนต่ำก่อนที่จะขึ้นบันไดไปขึ้นกระเช้า แปลกตาดี ส่วนใหญ่จะเป็นกำแพงนูนต่ำในไทยหรือลาวหรือไม่ก็กัมพูชา ในรูปเป็นเหมือนชาวบ้านออกมาทำกิจกรรมโม่ข้าวเปลือก ร้องรำทำเพลงอย่างสนุกสนาน
ขึ้นมาข้างบนก็จะพบกับวิวเมืองดาลัทในมุมสูง สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1,500 เมตรทำให้เมืองดาลัทอากาศเย็นสบายทั้งปี คงคล้ายๆกับปางอุ๋ง แม่ฮ่องสอนในไทยเราครับ แต่ที่นั่นรู้สึก 1,300 เมตรถ้าจำไม่ผิดนะครับ
แล้วก็ถึงเวลานั่งกระเช้า Cable Car ข้ามหุบเขากัน(ค่ากระเช้าคนละ 50,000 ดอง) เมื่อเดือนที่แล้วเราก็ไปนั่งกระเช้าถึง 2 กระเช้าที่ฮ่องกง และก็ยังมานั่งที่เวียดนามอีก 555 ไม่เบื่อหรือไงนะ
ระหว่างทางมองลงมาด้านล่างครับ
มาถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ว ถ่ายกับดอกไม้เมืองเหนือสวยๆก่อน ดอกป๊อปปี้หรือเปล่าน้าาา
ฝั่งนี้จะมีวัดตั๊กลอม(Truc Lom) วัดพุทธนิกายเซ็นออกแนวจีนๆครับ ถ้าเข้าไปในตัวอาคารก็จะมีพระพุทธรูปให้กราบไหว้
ประตูวัดอีกฝั่งหนึ่ง
สถานที่ที่ 4 ที่เราไปคือ น้ำตกดาทันลา(Datanla Waterfall) ซึ่งมีให้เลือก 2 ออพชั่นคือ นั่งรางเลื่อนไป หรือ เดินเท้าลงไป ซึ่งแน่นอนว่ามาที่นี่ทั้งทีแล้ว เราจะไม่นั่งรางเลื่อนหรือ Roller Coaster ได้อย่างไร จึงเลือกนั่งรางเลื่อนครับ เลือกซื้อตั๋วแบบไป-กลับ จะถูกกว่าซื้อแยกนะครับ ราคา 45,000 ดอง/คน แต่ถ้าขาเดียว 35,000 ดองมั้งถ้าจำไม่ผิดนะครับ ยังไงซะขากลับขึ้นเขาคงเดินไม่ไหวหล่ะครับ ขาไม่ดีแล้วด้วย
เล่นไม่ยากครับ มีคันเบรคกับเร่งในอันเดียวกัน โยกไปข้างหน้าคือเร่ง ส่วนโยกกลับเข้าหาตัวคือเบรค สักพักก็สนุก มีเข็มขัดรัดตัวเราอยู่ ไม่ต้องกลัวครับ พร้อมแล้วก็เกาะรางมากันเล้ยยย
จะบอกว่า เล่นรางเลื่อนนี้จะสนุกๆไม่สนุกอยู่ที่คันข้างหน้าเรานะครับ ถ้าไปเจอคันข้างหน้ามันเบรคบ่อยไปช้าๆ ทิ้งระยะห่างจากคันเราไม่มากเราก็จะเร่งความเร็วไม่ได้เพราะต้องชลอเพื่อไม่ให้ชนคันข้างหน้าเรา ผมเจอคันข้างหน้าช้า คอยหันมามองเพื่อนที่อยู่คันหลังผมไปอีกเลยเล่นไม่ค่อยสนุกนักครับ เพราะระยะห่างมันขึ้นกับความเร็วของคันข้างหน้าล้วนๆ ถ้าคันหน้าช้าก็จบกันแบบผม แล่นไปแบบตามๆกัน
สักพักก็มาถึงด้านล่าง น้ำตกดาทันลาแล้ว ตัวน้ำตกก็ธรรมดานะครับ ไม่ได้มีหลายชั้นสวยๆแบบหลายที่ในบ้านเรา เดินชมสักพักนึงก็ขึ้นมาข้างบนแล้ว ซึ่งขาขึ้นนั้นไม่ต้องบังคับอะไรเลยเพราะมันเป็นทางตรงใช้แรงสลิงดึงขึ้นตรงๆอย่างเดียว ไม่หวาดเสียวเหมือนขามาแล้ว แต่ก็สูงพอควรเลย ถ้าเดินขึ้นตายแน่ๆ
เสร็จจาก 4 สถานที่ ไกด์ก็พาลูกทัวร์ไปทานอาหารกลางวันครับ เป็นร้านอาหารตามสั่ง ออกค่าใช้จ่ายเอง ก็จับกลุ่มกัน 6 คนต่อโต๊ะแล้วก็สั่งแบบข้าวผัดอาหารจานเดียวกันมาทาน พอดีไม่ได้ถ่ายรูปมาด้วย แต่ไปเจอได้เจ้าที่เจ้าของร้านเลี้ยงไว้ พันธุ์ชิสุตัวนี้ฟันเหยินมากๆเลย พอดีที่บ้านเลี่้ยงพันธุ์นี้ซะด้วยเลยถ่ายไปฝากพี่ที่บ้านว่าตัวนี้เหยินมากๆ ฟันออกมาดชว์เป็นชุดเลย อย่างนี้น่าจะไปจัดฟันนะ อิอิ
สถานที่ต่อไปหลังทานอาหารกลางวันเสร็จ ที่ 5 คือเรือนเพาะชำพืช พามาก็ก็คงไม่มีใครซื้อเท่าไหร่หรอกครับ ใครจะเอาขึ้นเครื่องกลับประเทศ นอกซะจากคนในเวียดนามด้วยกันเองเนอะ
แล้วก็มาถึงสถานที่ที่ 6 หุบเขาแห่งความรัก(Valley of Love) มีสวนดอกไม้นานาพรรณสวยงามมากครับ เครื่องเล่นก็มีเหมือนกัน ช่วงที่มาคนไม่เยอะหามุมถ่ายรูปได้สบาย
ดอกไม้ที่ปลูกก็คล้ายๆกับสวนแม่ฟ้าหลวง เชียงรายบ้านเรา อากาศแบบเดียวกัน มีหลายจุดที่ให้ถ่ายรูปเก๋ๆ
เดินลงมาจากเนินเดินไปตามทางข้างหน้า มีรถม้าให้เช่าด้วย เห็นรถม้าแล้วนึกถึงเมืองลำปางในไทยเรา แต่ที่นี่คงใช้งานไม่โหดเท่า
ใครจะเล่นจักรยานน้ำล่องไปตามทะเลสาบก็มีให้เล่น ที่นี่จะครอบคลุมพื่นที่ใหญ่โตมาก มองไปตามทะเลสาบสุดหาเลยทีเดียว แต่เราก็นั่งชมวิวใต้ศาลาบริเวณนี้ดีกว่า อากาศเย็นลมพัดทีเย็นสบายมากๆ
แล้วทัวร์ก็เกือบจะหมดโปรแกรมของวันแล้ว ตอนนี้พามาชิมชาต่างๆ ไวน์, ขนม เพื่อให้นักท่องเที่ยวกระเป๋าฉีกซื้อเป็นของฝากกัน
มีกาแฟขี้ชะมดด้วยนะ(ด้านซ้ายมือให้เห็นออกมาจากขี้ชะมดของจริง) กิโลกรัมละ 2.1 ล้านดอง หรือ 3,200 บาท แต่เท่าที่เคยดูรายการมา กาแฟขี้ชะมดมันกก.ละหลักหมื่นบาทขึ้นไม่ใช่เหรอ หรืออันนี้มันกาแฟผสม แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ซื้อมาหรอกครับ
จริงๆทัวร์ได้ถือว่าจบแล้ว ไม่ได้พาไปที่ Crazy House แต่ไกด์ถามเราว่ามีใครอยากไปหรือไม่ ถ้าจะไปจะขับรถไปส่งอย่างเดียวไม่ได้รอรับด้วย สุดท้ายมีคนไปแค่ 4 คนคือเรา 2 คนและน้องผู้หญิงคนไทยที่มากัน 2 คน เรามาแล้วยังไงก็ต้องมาเพราะดูข้อมูลมาว่าน่าสนใจ บ้านแปลกๆ ออกแบบได้พิศดารมาก ค่าเข้าคนละ 40,000 ดอง
เข้าไปก็จะเป็นอาคารที่ทำด้วยปูนแบบไม่เหมือนธรรมดา เดินขึ้นเดินลงตามทางแคบๆไปยังห้องต่างๆ ก็จะมีห้องนอนหมีกับผึ้ง, ห้องในยุคโบราณ
คนที่ออกแบบคือลูกสาวประธานาธิบดีคนที่ 2 ของเวียดนามซึ่งจบสถาปัตย์มาจากฝรั่งเศสเลยผุดไอเดียแปลกๆ พิศดารแบบนี้ขึ้นมาที่เมืองดาลัท
ทางเดินแคบๆต้องเดินระวังๆหน่อย แต่ก็ปลอดภัยครับ บางอาคารเป้นรูปโพรงต้นไม้ หรือหน้าตาแปลกๆเหมือนผี มีบางจุดที่ยังสร้างไม่เสร็จก็มี คงมีต่อเติมไปเรื่อยๆ
ใยแมงมุมยักษ์ หรือห้องคนแคระก็มี
ห้องนี้เหมือนห้องคนแคระหรือเจ้าหญิงในนวนิยาย
ฮัลโหลใยแมงมุมยักษ์
ขากลับจาก Crazy House ก็เดินกลับกันกับน้องอีก 2 คน ไม่ต้องเรียกแท็กซี่เพราะเดินลงเนินชิวๆ เดี๋ยวก็ถึงตลาด เราแยกกับน้องผู้หญิง 2 คนที่โรงแรมทิวลิป 2 น้องเขาจะกลับโฮจิมินห์คืนนี้เลยด้วยรถนอน ก็ร่ำลากัน ส่วนเราก็เดินต่ออีกนิดเดียวก็มาถึงโรงแรมทิวลิปจนได้ สัมภาระต่างๆที่ฝากไว้เจ้าหน้าที่ก็นำมาไว้ที่ห้องพักแล้ว ห้องอยู่ชั้น 3 ครับ สภาพห้องสวย สะอาดใช้ได้ครับ
ห้องพักในมุมต่างๆ พร้อมห้องน้ำที่มีเครื่องทำน้ำอุ่น(สำคัญมากก) แต่ในห้องไม่มีเครื่องปรับอากาศนะครับ นึกแล้วก็เหมือนที่ซาปาที่เราไปปีที่แล้ว อากาศเย็นไม่ต้องมีเครื่องปรับอากาศก็นอนสบาย ที่นี่ก็เหมือนกัน แต่เราชอบที่นี่มากกว่าซาปานะ
อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ออกมาหาอะไรทานมื้อเย็น คราวนี้เดินไปเส้นที่ตรงกันข้ามกับตอนไปตลาด เดินลงเขาไปข้างหน้าจะเป็นสามแยก
มาเจอร้านก๋วยเตี๋ยวท้องถิ่น เห็นคนเข้าเยอะดี เลยเข้าไปบ้าง สั่งก๋วยเตี๋ยวและข้าวหมูอบ หมูให้มาน้อยแต่ก็อร่อยดี พร้อมชาจัสมินร้อนๆ
ขากลับเห้นร้านนี้ขายคล้ายๆโรตีบอยที่เคยทานตอนไปสุราบายาแล้วติดใจ เลยซื้อมาลองก่อน 1 ชิ้น 12,000 ดอง ปรากฎว่ารสชาติอร่อยติดใจ เลยสั่งอีกชิ้น อร่อยมากครับ กลิ่นหอมมาก ร้อนๆนุ่มๆ
เห็นร้านอีกฝั่งมีขายไก่ย่างห้าดาวด้วย CP บุกตลาดเวียดนามครับ!
เดินไปตรงถนนที่ไปตลาดเมื่อตอนเช้า เราจะเห็นคนขายอะไรสักอย่างเป็นแป้งร้อนๆมีไส้ด้วย เสียดายไม่ได้ลองทาน น่าจะอร่อยดีนะ อากาศเย็นๆเหมาะกับขนมร้อนๆแบบนี้เลย
วงเวียนน้ำพุครับ
ตอนนี้ทั้งท้องถนนและอากาศอย่างกับอยู่ในปารีสเชียว(ซึ่งก็ไม่เคยไปนะปารีสเนี่ย) ชิวมากๆ สบายๆ
ไม่ได้กาลแล้ว อากาศเย็นๆแบบนี้ต้องให้ร่างกายอุ่นด้วยเบียร์ท้องถิ่น เบียร์ไซ่ง่อนครับ(ขวดละ 30,000 ดอง) จริงๆน่าจะมีเบียร์ดาลัทบ้างนะ
สมควรแก่เวลา ก็ได้เวลากลับโรงแรมครับ พรุ่งนี้เราต้องลาเมืองโรแมนติกแห่งนี้ไปมุยเน่แต่เช้าตรู่แล้ว งั้นขอพักผ่อนก่อนละกัน ระหว่างทางแวะซื้อนกาแฟคั่วบดแล้วจากที่นี่ เมืองแห่งกาแฟ ซื้อ 2 ชุดพร้อมอุปกรณ์ที่ต้มกาแฟคั่วแบบหยดน้ำ รวมแล้ว 160,000 ดอง
แล้วติดตามกันต่อในตอนหน้า โดยเราจะนั่งรถไปมุยเน่แต่เช้าในวันรุ่งขึ้นเพื่อไปเที่ยวทะเลทรายขาว, ทะเลทรายแดง บ้านประมง และ Fairy Stream ราตรีสวัสดิ์ครับ
[ตอน 1] [ตอน 2] [ตอน 3]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
ใช้กล้องอะไรถ่ยคะ สวยมากค่ะ
ตอบลบขอบคุณครับ ผมใช้ Nikon D5100 ครับผม :)
ลบโทษนะครับ ผมขอถาม ข้อมูลนิดหนึ่งนะครับ มันมีแบบ ทัวร์ที่ สามารถ กลับจาก ดาลัท เข้ามาในโฮนิมิน ในคืนนั่นเลย ไหมครับผม ขอบคุณครับ
ตอบลบหมายถึงรถใช่มั้ยครับ?
ลบมีครับ มีรถจากดาลัทมาที่โฮจิมินห์เลยครับ ไม่ต้องแวะมุยเน่ก่อน
แถม ดูตารางรถบัสจากเว็บนี้ครับ เขาขายตั๋วรถบัสโดยตรง
ลบhttps://futabus.vn/en-US/route.html
ไปดาลัดมีไกด์ท้องถิ่พาเที่ยวไหมครับ
ตอบลบซื้อ 1 Day trip แล้วมีไกด์ไปด้วยครับ
ลบผมเดินทางเองไม่ได้ไปกับทัวร์อยากทราบว่มีไกด์ท้องถิ่นที่พูดไทยได้บริการไหมครับ
ตอบลบผมก็เดินทางไปเอง แล้วไปซื้อทัวร์ 1 วันในดาลัท เขาจะมีไกด์มาด้วย 1 คน พูดภาษาอังกฤษครับ ไม่ได้พูดไทย
ลบ1 day trip ซื้อได้ที่ไหนครับ
ตอบลบผมซื้อตอนไปถึงโฮจิมินห์วันแรกเลย ที่ vietseatourist ใน ตอน 1
ลบhttp://www.vietseatourist.vn/contact-us.html