วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2550

ปลายฝน...ต้นหนาว ณ พราวสอยดู...ภูสอยดาว ตอน 1 [วันพิชิตลานสนสามใบ]


หลังจากที่ผมได้มีเหตุฉุกเฉินต้องยกเลิกทริปไปภูสอยดาวเมื่อสัปดาห์ก่อนโน้นอย่างฉิวเฉียด เนื่องจากมีเหตุบางประการ จนทุกอย่างเข้ารูปเข้ารอยได้ดี ผมจึงแพลนที่จะไปขึ้นมาอีกครั้งในสัปดาห์ถัดไป เพราะของทุกอย่างได้ถูกตระเตรียมมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาหารแห้ง อาหารกระป๋อง เครื่องมือ เครื่องไม้ อุปกรณ์ รองเท้า ฯลฯ เรียกได้ว่าเสียเงินกับสิ่งของใหม่ๆกับทริปนี้หลายพันเลยทีเดียว ไม่ได้ไปคงเสียดายแย่เลย

ก่อนจะไป 2-3 วัน ผมลองสอบถามเพื่อนๆรุ่นน้องที่บริษัทว่ามีใครสนใจบ้าง ปรากฎว่ามีอยู่หนึ่งคนที่สนใจ ทริปนี้เลยไม่เหงาไปกันสองคน น้องคนนี้เลยถอย 40D มาวันพฤหัสบดี ก่อนจะออกเดินทางจากสระบุรีเพียงไม่กี่ชั่วโมง การเดินทางของทริปนี้ก็เริ่มขึ้น


ตอนแรกแพลนไว้ว่าจะออกเดินทางจากสระบุรีคืนวันพฤหัสบดีตอน 5 ทุ่ม เพื่อไปเช้า 7-8 โมงที่ที่ทำการอุทยาน แต่มีเพื่อนแนะนำว่าออกเดินทางตอนช่วงค่ำๆเลิกงานดีกว่า แล้วไปค้างที่นั่นเพื่อเอาแรงก่อนที่จะเดินขึ้นภูในวันรุ่งขึ้น ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดี เราเลยทำตามนั้น ออกเดินทางจากแก่งคอย สระบุรี ประมาณ 19:10 น. สัมภาระเต็มท้ายรถ ลุย !


เส้นทางที่ขับไปก็ตามปกติคือจากสระบุรีไปออกถนนสายเอเชียที่ท่าวุ้ง ลพบุรี แล้วไปถึงนครสวรรค์ เข้าเส้น 117 เพื่อไปยังพิษณุโลก แล้วต่อไปเส้น 11 เพื่อจะไปอุตรดิตถ์แต่เราจะเลี้ยวขวาที่ทางแยกเพื่อไปยังอ.ชาติตระการ แล้วต่อไปยังที่ทำการภูสอยดาว

มาถึงช่วงก่อนจะเข้าอ.ชาติตระการ เวลาเลยเที่ยงคืนแล้ว ฝนดันตกลงมา เราเลยต้องแวะหลบฝนที่รพ.ชาติตระการ ตลกดี แปลกๆยังไงไม่รู้ แต่จริงๆแล้วไม่มีอะไร เป็นรพ.รัฐที่ดีรพ.หนึ่ง หลบได้ประมาณครึ่งชม.เราก็เดินทางต่อเพราะฝนซาแล้ว คราวนี้ขับยาวเลย ทั้งเส้นทางมีแต่รถผมคันเดียว ในรูปเป็นเส้นทางก่อนจะไปถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติภูสอยดาว เวลาประมาณ 2:25 น.


พอถึงที่ทำการอุทยานฯก็เป็นเวลาประมาณ 3:20 น. เลยได้มีเวลาหลับในรถกันก่อนที่จะตื่นอีกครั้งช่วง 6 โมงเช้า ตอนเช้าอากาศดีจริงๆ หลับได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ยังถือว่าโอเคกว่าขับมาถึงแล้วขึ้นภูเลย พอตื่นนอนเสร็จก็จัดการกับตัวเองแล้วขับต่อไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อีก 1 กม. ที่จุดนี้เองเหล่ารถตู้จะมาจอดรถเพื่อขนถ่ายนักท่องเที่ยวกัน และเป็นจุดที่ชั่งสัมภาระกับการขอขึ้นภู ที่นี่มีร้านอาหารด้วยนะครับ เดินลงไปเล็กน้อย แนะนำร้านซ้ายมือสุดร้านแรกอัธยาสัยดี คนเข้าเยอะ อาหารอร่อย โดยเฉพาะข้าวหมูทอดกระเทียมไข่ดาว


7 โมงกว่าๆ หาอะไรทานที่ร้านดังกล่าวพร้อมกับการเดินหามุมถ่ายรูป มาที่นี่ก็จะต้องเจอกับน้ำตกภูสอยดาวเป็นอันดับแรก


ซูมเข้าไปใกล้ๆหน่อยซิ


ใกล้ๆกับรั้วไม้ก็มีมดตัวน้อยตัวนิดด้วยนะ แต่ถ้าโดนกัดท่าทางเจ็บน่าดู


อันนี้เขาเรียกว่าอะไร น่าจะเป็นเห็ดชนิดหนึ่งที่ขึ้นบนเปลือกไม้ที่มันชื้นๆ ดูแล้วอย่างกับตัวหนอนเลยแฮะ


ถึงคิวชั่งน้ำหนักสัมภาระแล้ว ทั้งสองคน รวมแล้ว 38 กก.ครับ  ราคา กก.ละ 15 บาท ก็โอเคครับ ไม่ได้แพงอะไร


8:20 น. เราก็เริ่มออกเดินแล้วครับ ช่วงแรกๆก็สบายๆ เลาะไปตามน้ำตกและลำธารของภูสอยดาว จะมีเดินขึ้นบันได้ไม้ให้นักท่องเที่ยวตายใจว่ามีบันไดเวลาเดินขึ้นเนิน แต่ลองดูกันต่อไปครับ


พอเดินมาสักพักจะเจอป้ายดังว่า ใครอย่าไปหลงไปตามทางลัดหล่ะครับ เพราะเห็นคนที่เคยไปบอกว่ามันลัดก็จริงแต่ชันมากๆ ขนาดลูกหาบยังเดินทางอ้อมเลย เราก็เลยเดินทางอ้อมแบบตรงไปครับ


เป็นช่วงแรกที่ต้องเดินข้ามลำธารไปอีกฝั่งหนึ่ง


เดินไปได้สักพักก็ต้องข้ามลำธารกลับมาฝั่งเดิมอีกแล้ว


เดินเหนื่อยๆพอเห็นสายน้ำจากลำธารแล้ว หายเหนื่อยเลย สดชื่นจริงๆครับ


เสียดายที่ผลหรือดอกสีแดงสดพวงนี้มือสั่นไปหน่อย แต่ก็ยังที่จะนำมาลง


บางช่วงก็มีไม่ใหญ่ล้มโค่นมาปิดทางเดิน แต่ก็ยังพอที่จะมีช่องให้เราลอดผ่านไปได้ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าอช.ภูสอยดาวเป็นอช.ที่ยังสมบูรณ์อยู่ ดูได้จากมอสที่ขึ้นปกคลุมอยู่ที่ต้นไม้สีเขียวอื๋อ


มาอีกช่วงที่สะพานข้ามลำธารเป็นลำต้นไม้ให้เดินข้ามแบบเสียวๆ


เห็ดนี้มีชื่อว่าอะไรเอ่ย ที่ชอบขึ้นตามเปลือกไม้ชื้นๆ สวยดีๆ


เห็ดนี้มากันสามศรีพี่น้องเลย ชอบๆ


ประมาณ 9 โมงก็มาถึงจุดนั่งพักจุดแรก ชอบต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังเก้าอี้จัง ปกคลุมไปด้วยมอส สูงตระหง่าน


ดอกอะไรไม่รู้อีกเช่นกัน สีฟ้า ถ่ายใกล้สุดได้แค่นี้ เพราะไม่มีเลนส์มาโคร


มาถึงแล้ว เนินแรกที่พ่อแม่พี่น้องมากันเพียบ นั่นคือเนินส่งญาติ แค่เนินนี้ก็ทำเอาหลายๆคนรวมทั้งผมแทบจะเป็นลม เพราะชันและยาวมาก แต่สภาพป่าเป็นป่าไม้ไผ่ รอบๆสวยงามดี


ขึ้นไปเจอกับลูกหาบที่เคยแซงไปตอนก่อนขึ้นเนิน คุยไปได้สักพัก แกก็เดินแบกของขึ้นนำลิ่วไปอีกแล้ว แต่ก็ต้องปล่อยแกไป เพราะขืนไปทำตามแกมีหวังเดี้ยงแน่ๆ


เดินมาตั้งนาน เพิ่งผ่านมาได้ 1.5 กม. ยังเหลือตั้ง 5 กม.แหน่ะ โห...สงสัยทำสถิติช้าสุดมั้งเนี่ยเรา แต่ตอนนี้จริงๆก็ยังไม่โดนใครแซงนะ นอกจากลูกหาบ


ดอกอะไรครับ ไม่ทราบจริงๆ แถบนี้มีเยอะมาก


ดูสิมีเป็นดงเลยครับ แต่ก็ดีอย่างเดินเหนื่อยๆก็ยังเอาเวลาพักมาถ่ายรูปและชมวิวธรรมชาติเพลินๆได้


ประมาณ 10 โมงเช้าเราก็เดินเข้าเนินที่สองคือเนินปราบเซียน มาดูกันว่าใครจะโดนปราบกันบ้าง


เจอดอกนี้อีกแล้ว พร้อมๆกับมีดอกสีขาวอยู่ด้านบนซึ่งนานๆจะเจอที


ดอกสีแดงสดนี่ก็สวย


หลายช่วงที่ต้องเดินผ่านหญ้าที่สูงชันแบบนี้ ดีที่ไม่มีแมลงหรือสัตว์มีพิษ


เจอเห็ดร่มข้างทางด้วย


นี่เป็นดอกกล้วยไม้ชนิดหนึ่ง ไม่ทราบว่าชื่ออะไร


11 โมงหน่อยๆ ได้เห็นสายหมอกเป็นครั้งแรกแล้ว


ดอกอะรูมิไร้ อะไรไม่รู้อีกเช่นเคย คล้ายๆดอกเข็มเลย


บางจุดก็เห็นมดกำลังเดินสวนสนามกัน


ดูไปเรื่อยๆ


หลากหลายดอกไม้


เห็ดอะไรเนี่ย สีแดงแปร๊ดเชียว ไม่ถ่ายไม่ได้แล้ว


เห็ดอีกแล้ว แทรกแอบอยู่ซอกเปลือกไม้


เกือบเที่ยงวันแล้ว เริ่มเข้าเนินเสือโคร่ง เนินที่ใครๆก็เข้าใจผิดรวมทั้งผมที่คิดว่ามันมีเสือโคร่งอยู่ แต่จริงๆแล้วบริเวณนี้มีต้นพญาเสือโคร่งอยู่จำนวนมากต่างหากเล่า


ดอกไม้อีกแระ สีเหลืองเล็กๆสวยดี


โอมายก็อด....อากาศกำลังจะเปลี่ยน นกเริ่มบินกลับรังแล้ว ฟ้าขมุกขมัวอยู่ข้างหน้าซึ่งเป็นเนินมรณะพอดี


เรายังไม่เอะใจอะไร ถ่ายเห็ดข้างทางอีกครั้ง


พอถ่ายรูปป้ายก่อนขึ้นเนินมรณะปุ๊บ ฝนเจ้ากรรมก็ถล่มมาเลย ต้องรีบเก็บกล้องเก็บของใส่ในเป้กันให้วุ่น พร้อมกับหยิบเสื้อกันฝนที่ซื้อมาเพื่อการนี้มาใส่โดยเฉพาะ


เจ้าเนินมรณะจะทำให้ผมมรณาเอา ด้วยหลายประการคือ ฝนตกอุตส่าห์เอาที่คลุมเป้คลุมไว้แล้ว น้ำยังเข้าเป้อีก คิดในใจ ทั้งกล้อง เลนส์ GPS อุปกรณ์อิเล็ดทรอนิกส์คงไปซะแล้ว เซ็งเลย ไม่อยากเดินต่อ แต่สุดท้ายก็ฝืนๆไป ลูกหนูก็ขึ้นแล้วขึ้นอีก สลับกันทั้งสองข้าง 555 มันส์ดี ในที่สุดฝนก็หยุดตก ภาพที่ได้จึงเป็นดังรูป


โอ้ว...ว้าววววว  ไอหมอกเจ้าลอยละลิ่ว อ้อยอิ่งอยู่ตามขุนเขา


ฝนเริ่มซา ลูกหาบกับนักท่องเที่ยวก็เริ่มทะยอยขึ้นตามกันมา


พอขึ้นจากเนินมรณะก็เดิมาตามทางเรื่อยๆ ลงบ้างขึ้นบ้างเล็กน้อย โค้งซ้ายโค้งขวาอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็มาเจอลานสนสามใบดังที่เห็น


ใครมาที่ภูสอยดาวก็คงไม่พลาดที่จะมาถ่ายกับป้าย
========================
ผู้พิชิตลานสนสามใบภูสอยดาว 
ระดับความสูง 1,633 เมตร
========================



พอมาถึงก็รอฝนซาสักพัก เพราะยังคงตกปรอยๆอยู่ เก็บสัมภาระจากจุดที่ทำการด้านบนก็เริ่มกางเต็นท์ ต้องรีบๆกางไม่งั้นเดี๋ยวตกลงมาอีก จริงๆแล้วมันก็ยังคงตกปรอยๆอ่ะนะ กางเสร็จผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย แล้วนอนเอาแรงครับ ทั้งเพลีย ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ขอนอนก่อน ตื่นมาอีกครั้งก็เกือบๆห้าโมงเย็นพอดี อากาศเย็นมาก เลยหยิบกล้องมาเดินถ่ายเก็บบรรยากาศ

ป้ายบอกจุดชมวิวและน้ำตกบริเวณใกล้ๆ


ตรงนี้ก็เป็นที่ทำการอุทยานด้านบน ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ มีฟืน เตาสามขาให้เช่า และน้ำฝนให้ใช้บริโภคเช่นทำกับข้าว โดยไม่เสียเงินถ้าเอาภาชนะไปตักเอง


ส่วนตรงนี้เป็นจุดที่ให้กางเต็นท์ได้ วันที่ผมไปคนขึ้นมาเยอะทำให้หลายกลุ่มข้ามไปกางในบริเวณที่เขาห้ามกางเพราะมีทุ่งดอกไม้อยู่


บริเวณนี้เป็นห้องน้ำและห้องสุขาครับ


ส่วนน้ำนั้นต้องเอาถังไปตักเองที่ลำธารตรงนี้ครับ ก็อยู่ไม่ไกลจากห้แงน้ำหรอกครับ


ดอกอะไรไม่รู้อีกเช่นกันบรเวณนั้น


และก็มาถึงนางเอกของทริปนี้ ดอกหงอนนาค เป็นดอกแรกของทริปเลยก็ว่าได้


ขอจบด้วยดาวบนท้องฟ้าที่จะมองได้ยากจากภาพที่เห็น มาที่นี่แล้วไม่นอนนับดาว เพื่อมาสอย แล้วจะเรียกภูสอยดาวได้อย่างไร

ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่เข้ามาชมและติดตามจนกระทั้งข้อความนี้ แล้วไว้ติดตามตอนสุดท้ายในวันรุ่งขึ้นต่อไปครับ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on http://www.pantip.com at [ 2 ต.ค. 50 22:20:54 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

3 ความคิดเห็น: