วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2550

ปลายฝน...ต้นหนาว ณ พราวสอยดู...ภูสอยดาว ตอน 2 [วันครบรอบ 5 ปีหลักเขตไทย-ลาว]


เมื่อคืนอากาศหนาวเย็นเนื่องจากฝนตก พอทานอาหารเย็นเสร็จซึ่งเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาม่ากับปลาแมคเคอเรลกระป๋อง และปลาดุกผัดพริกกระป๋อง ที่เตรียมมาตั้งแต่กรุงเทพ สักพักก็ได้เวลาเข้านอน เต็นท์ใครเต็นท์มัน นอนกันเร็วเนื่องจากเพลียๆกันอยู่ หลับไปตอนที่เสียงจากผู้คนหน้ากองฟืนหน้าจุดทำการอุทยานเงียบลงไปเกือบๆตี 1 ได้

เช้าวันใหม่นี้ซึ่งป็นวันเสาร์ที่ 29 กันยายน 2550 อากาศสดชื่นอยู่ไม่น้อย มีไอหมอกจางๆลอยออกมาเป็นระลอก ผมตื่นมาก็เพราะว่าเสียงจากผู้คนเริ่มทะยอยเดินกันไปมาผ่านเต๊นท์ผมเนื่องจากต้องการไปทำธุระส่วนตัวกันตรงห้องน้ำที่อยู่ไกลออกไปทางโน้น พอๆกับแสงแดดที่เข้ามาเยือนเร็วกว่ากำหนด ผมจึงต้องตื่นตอนประมาณ 7 โมงเช้าแล้วลุกไปล้างหน้า แปรงฟันบ้าง ก่อนจะกลับมาต้มมาม่ากับอาหารกระป๋องอีกครั้ง


ใครมาที่ภูสอยดาวฤดูกาลนี้ ไม่รู้จักเจ้าจ๋อลิงน้อยแสนซน สงสัยคงจะมาไม่ถึงภูสอยดาวมั้งเนี่ย เพราะใครๆก็ดูจะสนใจกับความตัวเล็กและซนของมัน ดูซิทำเป็นปีนไปเล่นที่ป้ายแสดงแหล่งท่องเที่ยวบนลานสนแห่งนี้


มาดูลีลาที่มันซนแย่งขวดน้ำของเจ้าหน้าที่และใช้มือเปิบข้าวเหนียวกันดีกว่า


ช่วงเช้าแบบนี้มีฝนตกลงมาบ้างปรอยๆ ตกๆ หยุดๆ กำลังจะเตรียมตัวไปถ่ายรูปตามจุดต่างๆต้องเลื่อนๆแล้วเลื่อนอีก แต่มาคิดดูอีกที ยังไงมันก็คงจะตกแบบนี้ตลอดทั้งวัน คงจะมารอฝนหยุดตกแล้วค่อยออกคงจะไม่ได้ เลยเตรียมเสื้อกันฝนคนละชุดแล้วเริ่มเดินตามเส้นทางไปด้านหลังที่ทำการอช.เพื่อไปยังหลักเขตไทย-ลาวต่อไป เราออกเดินเวลาประมาณ 8:30 น. หมอกจากฝนก็เป็นอย่างที่เห็น


ดอกสีชมพูนี้ดอกอะไรไม่แน่ใจ


ลองแนวตั้งบ้าง เห็นต้นสนสูงๆเป็นแบล็คกราวนด์


มีเต็มทุ่งเลย ถ่ายก็ง่ายเพราะยังไม่มีนักท่องเที่ยวออกมากัน


ค่อยๆเดินเก็บภาพกันไปเรื่อยๆ ไม่รีบร้อน อากาศสบายๆ เจอกับต้นสนที่ล้มลงแล้วเหมือนกับทำท่าจับมือกัน แปลกตาดี


หามุมใหม่ๆ


บางครั้งจะเจอแมงมุมชักใยคอยดักสัตว์ที่หลงมาเป็นอาหารเช้าอยู่


ไอหมอกไล่มาเรื่อยๆจากด้านบนยอดภูสอยดาว


เดินเก็บภาพเรื่อยๆตามทางเดิน วันนี้ลานสนสามใบเป็นของเรา


ภาพนี้ให้อารมณ์เหมือนดั่งกะคลื่นหรือน้ำตกกำลังถาโถมลงมา


เจอแล้วกับดอกหงอนนาคสีม่วงดอกแรกของวันนี้


เดินอีกหน่อยก็ถึงหลักเขตประเทศไทย-ลาว โดยมีป้ายบอกสัญญาณโทรศัพท์ให้เข้าไปโทรภายในเขตแดนลาวถึงจะมีสัญญาณ

จริงๆแล้วก่อนที่จะไปและแม้กระทั่งผมกลับมาก็ยังไม่สังเกตว่า หลักเขตแห่งนี้เขาเขียนไว้ว่า 29/09/2545 ซึ่งน่าจะเป็นวันที่ตั้งหลักเขตนี้พอดี และวันที่ผมไปถ่ายรูปก็ดันตรงกับวันที่ 29 กันยายน พอดิบพอดี จึงเป็นการบังเอิญอย่างมากๆที่ผมไปหลักเขตไทย-ลาว ณ จุดอช.ภูสอยดาวในวันครบรอบ 5 ปีพอดี


แถวนี้ดอกหงอนนาคมีเป็นทุ่งเลย ทางเดินก็ราบๆ ไม่ได้เดินขึ้นลงเนินแล้ว


เห็นเขาบอกว่า ช่วงปีนี้ลมแรง ทำให้ต้นสนล้มอยู่หลายต้น มากกว่าปีก่อนๆ


ทุ่งนี้มีดอกหญ็สลับกันถึง 3 สี ทั้งสีม่วง ชมพู สีเหลือง บวกกับสีเขียวของใบหญ้า


หงอนนาค 3 ดอกชูช่อแข่งกัน


ดูแบบรวมมิตรบ้าง สีเหลืองไม่แน่ใจว่าต้นอะไร


ผมและน้องใช้เวลาไปกับทุ่งนี้นานมากเพราะมีดอกไม้เต็มทุ่งไปหมด


สักพัก 10 โมงกว่า หมอกก็เริ่มมาอีกครั้ง


จะเดินไปทางไหนก็จะไม่ผิดหวังกับทุ่งดอกไม้สำหรับที่ลานสนแห่งนี้


ดูกันไปเรื่อยๆเลยครับ


จริงๆแล้วมันก็คือดอกหญ้าชนิดหนึ่งนั่นเอง แต่สำหรับภูสอยดาวแล้ว มันสมบูรณ์มากๆ เพราะขึ้นมาลำบาก ธรรมชาติเลยไม่ถูกทำลายมากนัก


อีกดอกที่เจอ ไม่ทราบอีกเช่นกันว่าชื่ออะไร สีม่วงเช่นกัน


เดินมารอบๆเพื่อจะขึ้นยังจุดชมวิวสูงสุด ที่สามารถไปน้ำตกมอสได้ แต่ตอนนี้ห้ามไป ก่อนจะขึ้นไปนั้นจะเจอกับหลุมบังเกอร์ในสมรภูมิร่มเกล้าที่ไทยรบหับลาว ถ้าจำไม่ผิด อยู่ตำแหน่งบนซ้าย และบนจุดชมวิวสูงสุดป้ายบอกแหล่งท่องเที่ยวก็โดนลมพัดจนล้มไปกองกับพื้นในรูปล่างซ้าย


ด้านบนนี้อากาศยิ่งดีไปใหญ่ มองไปยังจุดต่างๆได้ทั่วไปหมด


ณ บนนี้ก็มาเจอกับดอกเอนอ้า ซึ่งพบเจอเป็นครั้งแรก ทั้งกลีบดอกและเกสรสีเหลืองสวยมากๆ


พร้อมๆกับเจอดอกอื่นๆอีก


ลงจากจุดชมวิวสูงสุด มาเจอต้นสนหักอีกแล้ว


หงอนนาคสีขาวยังหาไม่เจอเลย


เจอแต่สีม่วง พร้อมๆกับหยดน้ำค้างที่เกาะตรงกลีบดอก


หงอนนาคหลากหลายแอคชั่น


คราวนี้เป็นทุ่งเขียวเหลืองเพียวๆ


สีเหลืองแซมสีเขียวสลับกัน ธรรมชาติสร้างสรรค์


ถ่ายไปเรื่อยจนเดินครบครึ่งวงกลมยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกดินแล้ว


มีมอสขึ้นปกคลุมกิ่งของต้นไม้


วิวเมื่อมองออกไป จะเจอกับต้นไม้เขียวชอุ่ม


ได้เวลาเที่ยงพอดี เลยเดินกันกลับเต็นท์ที่พัก เพื่อไปเอา CF มาเพิ่ม และอุปกรณ์อื่นๆ


พอถึงเต็นท์ก็ไปเอา GPS มาวัดพิกัดของหลักเขตอีกครั้งว่าตรงกับแผนที่ในตัวเครื่องมั้ย และลองวัดอุณหภูมิอากาศโดยนาฬิกาข้อมือว่าหนาวร้อนมากน้อยเพียงใด ซึ่งที่หลักเขตตัวไทย-ลาว ตัว GPS จะโชว์พิกัดจริงๆซึ่งอยู่ใกล้ๆเคียงกับเขตพรมแดนไทย-ลาวจริง และอุณหภูมิก็สบายๆ 24-25 องศา


ตรงนี้แหล่ะ จุดชมพระอาทิตย์ตกดินบนอช.ภูสอยดาว โดยมีรั้วไม้กั้นกันตกหน้าผาไป


ต่อจากนั้นก็ได้เวลาเดินต่อไปยังน้ำตกหลุมพบและสายทิพย์ตามลำดับ แต่ก่อนจะถึงจะเจอกับป้ายที่บอก ยอดภูสอยดาว เดินไปอีก 2500 เมตร ตามวิวยอดภูที่เห็น ส่วนใหญ่จะไม่มีคนไปกันแล้ว ขึ้นได้สะดวกสุดน่าจะหน้าหนาว


ก่อนลงไปน้ำตกหลุมพบ เจอกับทางทีม TKT ที่กำลังโพสต์ท่าถ่ายรูปกัน


ลงไปน้ำตกหลุมพบนี่ลำบากจริงๆ ชันมากๆ เป็นน้ำตกที่เพิ่งพบใหม่ แต่ผมว่าจริงๆมันก็เป็นสายเดียวกับน้ำตกสายทิพย์นะครับ


ชั้นเกือบล่างสุดก็สวยดี เขียวชะอุ่มปกคลุมไปด้วยมอส


ดอกไม้ระหว่างทาง ก่อนกลับขึ้นด้านบน


เห็ดสีเหลืองแสด สวยดี ผมชอบ


เห็ดอีกแล้วครับ


ต้นสนที่ล้มนี้ คล้ายๆกับซู้มประตูเลยครับ


บ่ายสามโมง มาถึงทางที่จะลงไปดูน้ำตกสายทิพย์แล้ว


ทางลงน้ำตกก็ชันอีกเช่นกัน ช่วงนี้น้ำตกดันมีน้ำน้อย


เห็ดระหว่าทางเช่นเดิม


ชั้นล่างสุดของน้ำตกสายทิพย์


หลังจากที่เที่ยวน้ำตกถึง 2 น้ำตกด้วยกัน ก็กลับมายังที่เต็นท์ดังเดิม นอนพักสักนิดแล้วออกมาถ่ายรูปฟ้าแจ่มๆ เพราะบนนี้นานๆจะมีฟ้าแบบนี้สักที


ใกล้จะหมดแสงของวันมาทุกที


รอจะถ่ายพระอาทิตย์ตกดินจนถึง 5 โมงครึ่ง ก็เลยเดินไปยังจุดชมวิว แต่ลองถ่ายระยะไกลอยู่ก่อน ปรากฎว่า ถ่ายไปได้ 3 รูปแบตหมดครับ เลยเก็บภาพนี้ ภาพผู้คนไปรอถ่ายพระอาทิตย์ตกดินมาเป็นภาพสุดท้าย แต่พอรอพระอาทิตย์ตกจริงๆ พระอาทิตย์ดันไม่ตกให้เห็นแฮะ ผมเลยไม่เสียดายที่แบตกล้องหมด 

กลับมาก็ทำมาม่าทานแล้วดูดาวเต็มท้องฟ้าก่อนจะเข้านอนตอนเกือบสามทุ่ม รุ่งเช้าก็รีบตื่นมาแพ็คสัมภาระให้ลูกหาบแล้วเดินลงเวลา 9:00 น. ถึงตี_นภูบ่ายโมงครึ่ง ขับรถกลับสระบุรี ถึงที่พักเวลา 23:10 น.

ขอจบทริปโหดๆสำหรับผมไว้แค่นี้นะครับ ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านเรื่องราว ดูรูป แลงชื่อกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)

Original Published on http://www.pantip.com at [ 5 ต.ค. 50 00:57:21 ] as below link


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น