วันนี้เป็นวันที่สองที่อยู่ในสังขละบุรี ถิ่นชาวมอญ หลังจากงัวเงียลืมตาจากที่นอนได้ไม่นาน หูก็ตั้งใจฟังเสียงฝนที่อยู่ข้างนอกอย่างใจจดใจจ่อว่ายังคงตกอยู่หรือเปล่า ปรากฎว่า ฝนตกแค่เป็นหยดๆเท่านั้น ไม่ถึงกับไปไหนไม่ได้เลย นับว่าโชคดีมากแล้วที่วันนี้บรรยากาศเป็นใจให้เราได้เที่ยวตามโปรแกรมที่ตั้งใจไว้
7 โมงเกือบ 8 โมงเช้า เราเดินออกมาจากบ้านพักเพื่อไปชมวิวจากที่สูงที่ร้านอาหารของรีสอร์ท ฝั่งนี้ก็เป็นอีกฝั่งหนึ่งที่ชาวบ้านสร้างสะพานขึ้นมาใหม่แต่เป็นสะพานเหล็กออกสีแดงๆ
ในอีกมุมหนึ่ง เราสามารถยืนมองดูวิวทั้งเจดีย์พุทธคยาจำลองที่ตั้งอยู่วัดวังก์วิเวการามทางฝั่งชุมชมชาวมอญและสะพานไม้มอญไปในตัว ท้องฟ้าวันนี้ยังคงสลัวๆแต่ยังไงซะก็ยังดีกว่าเมื่อวานที่แทบมองไม่เห็นแสงแดดเลย :(
มุมสะพานไม้มุมนี้น่าจะผ่านตานักท่องเที่ยวหลายๆท่านในนี้ไปบ้างแล้ว
เราเดินย้อนออกจากทางเข้าสามประสบรีสอร์ทแล้วเลี้ยวซ้ายเดินลงไปตามทางเดินซีเมนต์เพื่อไปยังสะพานไม้ มองเห็นเรือกำปั่นที่อยู่ลิบๆจำนวน 2 ลำ
สะพานไม้นี้จะมีศาลาให้ชาวบ้านนั่งพักทั้งต้นทางและปลายทาง มอเตอร์ไซด์รับจ้างเลยใช้เป็นวินรับส่งผู้โดยสารที่นี่ซะเลย อีกทั้งยังมีรูปภาพและโปรแกรมการล่องเรือไปดูเมืองบาดาลให้ดูก่อนตัดสินใจใช้บริการซะด้วย
สะพานมอญ หรือสะพานอุตตมา-นุสรณ์
มาดูมุมตรงกลางสะพานมั่ง
วันนี้โชคดีที่กำลังยืนอยู่บนสะพานแล้วมีแม่ชีแต่งกายสีชมพูในแบบฉบับชาวมอญเดินผ่านมาพอดี เลยเก็บภาพช็อตใกล้ๆไว้ได้
จากสะพานไม้สามารถมองเห็นสะพานปูนที่อยู่ไกลออกไปได้
บ้านเรือนชาวมอญที่ตั้งรกรากอยู่ที่มาแต่นมนาน
หลังจากเดินไปฝั่งชุมชนชาวมอญแล้ว เราสอบถามชาวบ้านเกี่ยวกับระยะทางไปวัดหลวงพ่ออุตตมะ ชาวบ้านบอกกับเราว่าไกลพอควร ไปทางรถยนต์จะสะดวกกว่า เราจึงเปลี่ยนแผนเดินกลับมาฝั่งอ.สังขละฯอีกครั้ง แล้วหากาแฟร้อนๆทานที่ร้านริมน้ำติดกับสะพานไม้แห่งนี้
กลับมาที่ร้านอาหารของรีสอร์ทอีกครั้งเพื่อทานอาหารเช้าที่ทางนี้รวมไว้ในแพ็คเกจห้องพัก เป็นข้าวต้มหมูร้อนๆกับปาท่องโก๋ และเครื่องดื่มร้อนตามแต่เลือก ผมเลือกทานชาจีนร้อนเพราะสักครู่ได้ทานกาแฟมาแล้ว
9:30 น. เราเช็คเอาท์เพื่อเดินทางต่อไปยังวัดหลวงพ่ออุตตมะ หรือวัดวังก์วิเวการามฝั่งโน้นนั่นเอง
ณ จุดกลางสะพานปูนมองย้อนไปยังฝั่งที่เป็นสะพานไม้
เส้นทางมาวัดเป็นปูนอย่างดี แต่อาจชันบ้างเล็กน้อย สักพักเราก็เลี้ยวซ้ายเพื่อไปยังเจดีย์พุทธคยาจำลองก่อน
หลังจากทำบุญไหว้พระแล้ว เราก็เดินขึ้นไปยังชั้นบนรอบๆองค์พระเจดีย์ มุมเดียวที่บังคับให้ถ่ายก็คือมุมเงยแหงนไปด้านบนปลายสุดของเจดีย์จำลอง
องค์พุทธคยาจำลองอีกมุมหนึ่ง
สักพักก็ขับต่อไปยังวัดวังก์วิเวการามจริงๆซึ่งอยู่ย้อนออกไปทางเดิม ไม่แน่ใจว่านี่คือวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนอันงดงามหรือที่เรียกว่า หลวงพ่อขาว หรือไม่ เพราะเราเองก็ไม่ได้เดินเข้าไปสำรวจ
ผมชอบก็ตรงที่หน้าต่างแกะสลักเป็นลายไทยน่าจะเกี่ยวกับเรื่องราวชาดกและปิดทองอย่างสวยงาม เสียดายก็แต่กล้องผมซูมมาได้แค่นี้
ก่อนจะขับรถออกไป มีเด็กหญิงชาวมอญคนหนึ่งเข้ามาเชิญชวนให้ไปล่องเรือเพื่อดูเมืองบาดาล ราคาเพียงแค่ 300 บาท แถมยังมีเสื้อชูชีพและเรือมีหลังคาด้วย สรรพคุณมากมายอย่างนี้เราเลยไม่ปฏิเสธ เพราะยังไงเราก็จะไปใช้บริการอยู่แล้ว แถมน้องคนนี้ได้ค่าคอมฯด้วยก็ยิ่งดีไปใหญ่
น้องพาเรามาที่ถนนเล็กๆสุดสายด้วยลำน้ำ พอจอดรถเสร็จก็รอเพื่อลงเรือ สักพักเรือก็เริ่มออกจากฝั่ง
ภาพสะท้อนที่ลำน้ำจากเจดีย์พุทธคยาจำลอง
สิ่งที่เห็นนี้เขาเรียกว่า"ยอ" ใช้สำหรับดักจับปลา เราจะเจอเป็นระยะๆตามลำน้ำแห่งนี้
จุดหมายของเราอยู่เบื้องหน้าแล้วหล่ะ นั่นคือเมืองบาดาลหรือจริงๆแล้วคือโบสถ์และหอระฆังของวัดวังก์วิเวการามอันเดิมที่โดนน้ำท่วมมิดหลังจากสร้างเขื่อนเขาแหลมเสร็จนั่นเอง
พอเรือแล่นเข้าใกล้หอระฆัง คนเรือก็ได้ดับเครื่องเพื่อปล่อยให้เราสามารถถ่ายรูปและชมวิวใกล้ๆได้นานๆ
มุมนี้น่าจะดูดีที่สุดของหอระฆังที่โผล่พ้นน้ำก็แต่เพียงยอดเท่านั้น
ใกล้ๆกันก็จะเป็นโบสถ์ที่ตัวผนังโผล่พ้นน้ำมาได้ไม่กี่เซนติเมตร ส่วนหลังคานั้นได้อันตธานหายไปตั้งนานแล้ว ชาวเรือบอกกับเราว่าหน้าฝนปีก่อนๆจะไม่ได้เห็นผนังโบสถ์โผล่มาขนาดนี้หรอก
อีกด้านหนึ่ง
ไม่นานฝนก็เริ่มตกลงมาแรงขึ้น บรรยากาศโดยรอบมืดไปหมด
เรือพาเราไปดูต้นตาลที่ตั้งตรงอยู่กลางน้ำ ชาวเรือบอกกับเราว่ามันเริ่มตายปีนี้ อาจเป็นเพราะเจอฟ้าผ่าลงมาก็เป็นได้ เพราะลำพังจมน้ำก็ไม่น่าใช่เพราะจมอย่างนี้มาก็หลายปีแล้ว
ต่อจากนั้นเรือลัดเลาะไปตามลำน้ำแล้วไปที่สะพานมอญเป็นที่สุดท้าย เสียดายที่แบตผมหมดซะก่อน เลยไม่ได้เก็บภาพสะพานไม้ขณะที่นั่งอยู่ในเรือ
พอเรือมาส่งเราที่ท่า โปรแกรมต่อไปก็คือ ด่านเจดีย์สามองค์ แต่ก่อนจะไปนั้นเราแวะถ่ายรูปที่วัดสมเด็จ วัดที่อยู่ก่อนถึงตัวอ.สังขละบุรีถ้านับจากเดินทางมาจากอ.ทองผาภูมิ ที่นี่มีองค์พระนอนขนาดใหญ่เหมือนกัน
ผมเลือกมุมถ่ายยังไงก็ไม่สามารถเก็บองค์ท่านได้หมด แถมยังเจอเจ้าถิ่นยืนมองหน้าอีกด้วย
ถัดจากนั้นก็จะเป็นองค์เจดีย์วัดสมเด็จ
สภาพเส้นทางไปด่านเจดีย์สามองค์นั้นชำรุดอยู่ตลอด ถึงขั้นที่ต้องขับแบบหยอดๆเวลาเจอหลุมหรือแอ่งน้ำจากการกัดเซาะของน้ำฝน แต่เส้นทางก็ไม่ได้ชันอะไรเป็นทางในระนาบปกติธรรมดา ระยะทางจากสังขละฯไปด่านเจดีย์ฯประมาณ 20 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที
ประมาณเที่ยงยี่สิบสี่นาที เราก็มาถึงที่ด่านเจดีย์สามองค์ ลงจากรถแล้วมองหน้ากันว่า ทำไมมันเล็กขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าจะยิ่งใหญ่และดูเก่าๆขลังๆเหมือนอย่างที่คยดูในรูปซะอีก ธงชาติที่เห็นนั้นเป็นธงชาติพม่า สามารถขอทำเรื่องผ่านด่านไปเที่ยวได้ แต่เราไม่มีเวลาที่จะไป
มาที่นี่ก็คงหนีไม่พ้นป้าย "สุดแดนตะวันตก" โอ้ว...เราไปกันเกือบครบแล้วนะเนี่ย จะเหลือก็เพียงใต้สุดในสยามมั้งที่ไม่รู้จะได้ไปหรือไม่
พอเดินชมวิวรอบๆเจดีย์สามองค์แล้ว เราหาอะไรทานรองท้องเมื่อยามเที่ยงวันพอดี อาหารมื้อนี้คือก๋วยเตี๋ยวกับกาแฟโบราณร้อนแบบใช้ช้อนคนเอง นี่สิถึงจะได้บรรยากาศเก่าๆแท้จริง
เราเดินทางออกจากด่านเจดีย์ฯก็เกือบบ่ายโมง จุดหมายคือกรุงเทพอย่างเดียว แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะแวะทานส้มตำอีกทีที่น้ำตกเกริงกระเวีย ถึงน้ำตกบ่ายสองโมงได้ พอพักทานส้มตำและไก่ย่างกำลังก็เริ่มฟื้นขึ้นมา ไปสิ้นสุดอีกทีก็สะพานแขวนที่กรุงเทพพอดี ดูเวลาประมาณทุ่มนึง จึงเป็นอันจบทริปสังขละฯ เมื่อยามหน้าฝนครั้งนี้แบบครึ้มๆตลอดทั้งสองวันลงด้วยดี
กิโลเมตรสิ้นสุด : 226,114
เวลาล้อหยุด : 19:18 น.
รวมระยะทาง 850 กม.
===============
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม ดูรูป อ่านเรื่องราว และลงชื่อทักทายกันครับ _/|\_
เจอกันอีกทีเมื่อใจต้องการ...สวัสดีครับ
Original Published on www.pantip.com at [ 29 ส.ค. 49 22:38:56 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/08/E4666898/E4666898.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น