วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2549

เยือนสังขละฯ ถิ่นเจดีย์สามองค์ เมื่อยามหน้าฝน ตอน 1 วันเดินทางไป (วันแรก)


คุณเคยรู้สึกมั๊ยว่า บางครั้งเราเองก็อยากปล่อยวางกับสิ่งใดๆที่เราต้องประสบพบเจออยู่ตลอดในแต่ละวัน อย่างเช่น การงานที่เราๆทำงานอยู่ไงหล่ะ ผมเองก็เป็นคนหนึ่งที่รู้สึกอย่างนั้น จึงตั้งใจไว้ว่าช่วงหยุดแค่ 2 วันนี้ หาสถานที่ไปผ่อนคลายและสูดกลิ่นไอธรรมชาติอย่างแท้จริงได้แล้วนะ ความตั้งใจนี้มีมาถึง 3 อาทิตย์แล้ว แต่ยังคงเป็นหมันตลอดในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ครั้งนี้จึงได้เวลาเสียทีกับการออกเดินทางไปไหนๆก็ได้ที่รถคู่ใจคันนี้ยังไม่เคยโลดแล่นไปในเขตพื้นที่ประเทศไทย

ใช่แล้ว สังขละบุรี หรือ สังขละฯ ถิ่นชุมชนชาวมอญภาคตะวันตกของประเทศนั่นเอง ผมหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าตั้งนานแล้ว จำได้ว่าเป็นช่วงปีที่แล้วด้วยซ้ำ แต่เพราะด้วยเหตุบางประการเลยไม่ได้ไป วันนี้จึงหยิบโปรแกรมดังกล่าวมาปัดฝุ่นอีกครั้งพร้อมเสิร์ชหาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนใกล้วันไป เพื่อความทันสมัยของข้อมูลทั้งที่พักและสถานที่ท่องเที่ยว

=====
กิโลเมตรเริ่มต้น : 225,264
เวลาล้อหมุน         : 7:50 น.


ออกเดินทางจากย่านบางนาก็เกือบ 8 โมงเช้าแล้ว ผมเลือกให้ผู้นำทางมืออาชีพอย่าง GPS iQue 3600 ของผมหา route ในการไปเยือนสังขละคราวนี้ให้ เจ้าหล่อนเลือกเส้นทางให้ผมแถมบอกเวลาที่จะถึงล่วงหน้า นั่นคือเที่ยงวันกว่าๆ ผมเลยขับไปตามเส้นทางที่ผ่านสะพานกรุงธนหรือที่แต่ก่อนเรียกันติดปากว่าสะพานซังฮี้ น่าจะเรียกว่าเป็นครั้งแรกก็ว่าได้ที่ผมขับผ่านสะพานนี้ไปอีกฝั่งหนึ่งของกรุงเทพมหานครหรือฝั่งธนฯนั่นเอง


9 โมงกว่าๆก็ได้เวลาหาอาหารรองท้องแถบนครปฐม จึงมาหยุดเอาที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง อาหารพอทานได้ เราเลือกข้าวแกงธรรมดา เสร็จจากนั้นคงหนีไม่พ้นกาแฟสดในร้านเล็กๆร้านนี้
ครั้งแรกอ่านผ่านๆยังนึกว่าเป็นร้าน Intania อยู่เลยนะเนี่ย ต้องกลับมาอ่านอีกครั้งถึงจะรู้ว่าร้าน "Intanin Coffee" ไม่เกี่ยวกับวิศวะแต่อย่างใด :)


การมาทานกาแฟของผมนั้น รสชาดอย่างเดียวไม่เพียงพอ บรรยากาศการตกแต่งร้านที่ดูน่ารักและน่าเอ็นดูก็มีส่วนให้ทานกาแฟมีรสชาดอร่อย กลมกล่อมมากยิ่งขึ้น
ดูอย่างร้านนี้เป็นต้น มีการตกแต่งข้างใต้โต๊ะนั่งกาแฟเป็นโลกใต้ทะเล โดยมีเปลือกหอยสีสันสวยๆ และลูกสนสามใบ เสียดายเล็กน้อยที่ฝั่งขวามีแสงสะท้อนมาจากกระจก


นั่งรอที่โต๊ะสักครู่ก็ได้เวลาทานเอสเปรสโซเย็นกันแล้ว ที่นี่คลาสสิคมากตรงที่มีขวดแก้วใส่ขนมปังตัวอักษร A-Z ให้ผู้มาทานกาแฟได้ทานคู่กันแบบฟรีๆ ขนมนี้ทำให้นึกถึงตอนเด็กๆอยู่เนืองๆ
ถ้วยกาแฟสวยๆแบบนี้ที่ไม่เหมือนใคร ยากที่จะรอดมือนักสะสมถ้วยกาแฟสดอย่างผมไปได้


10 โมงก็เริ่มเข้าเขตจังหวัดกาญจนบุรี อากาศยังปกติดีอยู่ ใครที่ไม่เคยผ่านเส้นนี้ผมแนะนำให้เข้า by pass ถ้าไม่ต้องการแวะตัวเมืองกาญจน์ เพราะเส้นที่ผ่านตัวเมืองนั้นรถติดมากๆ กว่าจะออกมาได้ก็เสียเวลาไปมากทีเดียว
พอรถออกจากตัวเมืองมุ่งหน้าอ.ทองผาภูมินั้น อากาศก็เริ่มเย็นๆพร้อมกับมีฝนตกลงมาปรอยๆ ระหว่างทางเกือบเกิดอุบัติเหตุเหมือนกันเนื่องจากรถกะบะฝั่งตรงกันข้ามขับขวางถนนออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเลย ผมต้องเบรคกะทันหันจนเสียงล้อที่ลื่นไปกับถนนดังออกมาจนคนหันกันมามอง แต่ด้วยพระคุ้มครองก็เลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมเองก็ขับไม่เร็วนัก เนื่องจากถนนลื่น บรรยากาศรอบๆก็เป็นอย่างที่เห็น


เที่ยงสิบเจ็ดนาที เรามาถึงทางแยกทองผาภูมิ-สังขละบุรี ผมตั้งใจไปดูวิวที่เขื่อนวชิราลงกรณ หรือเขื่อนเขาแหลมก่อนแล้วค่อยไปสังขละอีกที
ทางเข้าไปดูสันเขื่อนอยู่ห่างออกไปจากถนนใหญ่ไม่กี่กิโลเมตร ในที่สุดก็มาถึงพร้อมกับสายฝนที่ตกปรอยๆลงมาตลอดเวลา


ทางขึ้นลาดชันพอประมาณขนานไปกับสันเขื่อน ผมขับขึ้นมาจอดรถด้านบนโดยมีรถเราเพียงคันเดียวแต่ก็มีรถกะบะอีกคันขับตามมาจอดด้วยกัน


มองลงไป น้ำในเขื่อนมีสีเขียวเข้ากับสีเขียวของภูเขาที่อยู่รายล้อมได้เป็นอย่างดี


เรามาดูภาพแบบพานอรามาท่ามกลางบรรยากาศฝนตกปรอยๆกันครับ


แวะมาดูอีกฝั่งหนึ่งของสันเขื่อนเขาแหลมกันบ้างครับ ณ จุดนี้เป็นจุดที่ใช้เปิด-ปิดน้ำจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่ง


อีกมุมหนึ่ง ไกลโพ้นออกไป


มุมมองจากที่สูงลงไปยังปลายน้ำ น้ำสีเขียวอื๋อ


เดินชมวิวเขื่อนวชิราลงกรณได้พอเรียกน้ำฝนแล้ว เราก็ย้อนกลับไปทางเดิมที่เข้ามาเพื่อมุ่งหน้าสู่อ.สังขละบุรีกันต่อ เส้นทางที่ทราบๆกันดีคือ 2 เลนสวนทางกัน แต่ไม่มีไหล่ทาง บวกกับสภาพถนนที่ไม่ค่อยจะดีอยู่แล้วคือเจอน้ำกัดเซาะเป็นบางจุด จึงทำให้ใช้ความเร็วไม่ค่อยจะได้ ยิ่งหน้าฝนอย่างนี้แล้ว การขับรถเส้นทางนี้ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังเข้าไปอีกมากๆ


ระหว่างทางจากอ.ทองผาภูมิไปอ.สังขละบุรีนั้น จะมีน้ำตกอยู่น้ำตกหนึ่งที่เรียกได้ว่าอยู่ใกล้ถนนอย่างที่สุดแล้วก็ว่าได้ น้ำตกที่ว่านั้นคือ น้ำตกเกริงกระเวีย อยู่ห่างจากแยกทองผาภูมิ-สังขละฯประมาณ 35 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที ตัวน้ำตกมีอยู่หลายชั้นเตี้ยๆ เป็นแนวกว้าง


ด้วยความที่ฝนตกลงมาตลอดเวลา ทำให้เวลาถ่ายรูปออกมานั้นบางรูปอาจมีรอยน้ำเปื้อนกับฟิลเตอร์ผ่านมาทางเลนส์ซึ่งก็เป็นเรื่องยากในการหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ดังกล่าว แต่ยังไงซะน้ำตกเกริงกระเวียก็ยังสวยเหมือนเดิม


บ่าย 2 ยี่สิบ เราก็มาถึงสะพานรันตีซึ่งเป็นสะพานข้ามแม่น้ำรันตี หนึ่งในแม่น้ำ 3 สายที่มาบรรจบกันเป็นสามประสบนั่นเอง
เราออกมาเดินยืดเส้นยืดสายเล็กน้อยพร้อมกับสูดอากาศบริสุทธิ์ที่กรุงเทพให้เราอย่างนี้ไม่ได้


หันมามองอีกด้านหนึ่งของสะพาน วิวที่เห็นไกลออกไปอย่างกับวิวในเมืองนอกที่มีหิมะตก ยังไงยังงั้นเลย แต่แท้ที่จริงแล้วก็คือไอหมอกที่ลอยเรี่ยๆบนทิวเขานั่นเอง


ชาวบ้านละแวกนี้ส่วนใหญ่จะตั้งบ้านเรือนเป็นแพอยู่ริมน้ำ อาชีพส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นประมงน้ำจืด โดยจะมีปลาสดๆนำมาขายข้างทางเป็นระยะๆ


สักครู่ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เบนซินเริ่มทำงาน เรามองออกไปเพื่อหาต้นกำเนิดเสียงนั้น แน่นอน มันเป็นเสียงเครื่องยนต์ของเรืองหางยาวของชาวบ้านที่ออกไปหาปลาหรือเดินทางไปนั่นเอง


เรือหางยาวลำเดิมได้แล่นแหวกสายน้ำห่างออกไป แลเห็นคลื่นแผ่กระจายเป็นแนวเส้นตรงน่าแปลกตาเราดีแท้


เจ้า GPS บอกระยะทางที่จะถึงจุดหมายอีกไม่ไกลแล้วหล่ะ ไม่เกิน 15 กม. แต่จากนี้ไปเตรียมพร้อมกับเส้นทางที่ชำรุดเพิ่มขึ้นบวกกับทางที่ชันมากกว่าที่ผ่านๆมาด้วยละกัน
5 กม.สุดท้ายก่อนถึงสังขละเป็นเส้นทางที่ชันที่สุด ป้ายถึงกับเตือนให้ใช้เกียร์ต่ำพร้อมกับบอกระยะทางลงเขายาว 1 กม. ผมเดาว่าเกิดอุบัติเหตุบ่อย ทางการเลยนำที่กั้นทางที่เป็นคอนกรีตมาวางขั้นกลางระหว่างเส้นทางไปและกลับเลย


เราเลือกที่จะมาพักที่สามประสบรีสอร์ทเนื่องจากอยู่ใกล้สะพานมอญที่สุด และราคาก็ไม่แพงด้วยคือ 600 บาท
มาถึงที่นี่ก็เกือบบ่ายสามโมงเย็นแล้ว แต่ด้วยความที่ฝนตกตลอด ท้องฟ้าเลยออกครึ้มๆไม่มีแสงแดดทั้งวัน แถมเฉอะแฉะไปหมด

=====
ข้อมูลน่าสนใจ : สามประสบ คือ บริเวณที่แม่น้ำทั้ง 3 สายไหลมาบรรจบกัน อันได้แก่ แม่น้ำซองกาเลีย แม่น้ำรันตี และแม่น้ำบีคลี่



เราเดินไปสอบถามเจ้าหน้าที่พร้อมกับหวังให้บ้านพักยังไม่เต็ม โชคดีที่ยังไม่เต็มจริงๆด้วย หลังนี้แหล่ะที่ใช้นอนพักผ่อนหลังจากขับรถมานานหลายชั่วโมง


ภายในมีแอร์ น้ำอุ่น ทีวี ครบเซ็ท ใช้ได้ทีเดียว
ตอนแรกกะว่าจะออกไปเที่ยวข้างนอนก่อนแล้วค่อยกลับมาอีกที แต่แผนก็ต้องเปลี่ยนเนื่องจากฝนตกหนักมากขึ้นเลยต้องใช้เวลาส่วนใหญ่นอนดูทีวีพร้อมกับผลอยหลับไปท่ามกลางเสียงฝนตกพลั่กๆ


ตื่นขึ้นมา 5 โมงจะครึ่งแล้ว ฝนที่ตกก็เริ่มตกเบาลง มองหน้ากันว่าน่าจะออกไปหาอะไรทาน ก็ที่รีสอร์ทนี้แหล่ะ ไม่ต้องไปไหนไกล
ลืมบอกไปว่าที่นี่มีบ้านพักหลากหลายราคามากขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่จะไปพัก นี่ก็เป็นหลังหนึ่งที่เหมาะกับการมาพักแบบครอบครัวหลายๆคนด้วยกัน


นั่งชมวิวที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ไม่เปียกแถมยังได้เห็นเจดีย์พุทธคยาจำลองที่วัดวังก์วิเวการามที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งห่างออกไปด้วย


วิวสะพานมอญหรือสะพานอุตตมา-นุสรณ์ซึ่งเป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทยโดยมีความยาวถึง 850 เมตร สร้างข้ามลำน้ำซองกาเลียสำหรับให้ประชาชนฝั่งตัวอำเภอสังขละบุรีและฝั่งหมู่บ้านชาวมอญเดินข้ามสัญจรไปมา


นั่งรอสักพัก อาหารที่สั่งไว้ก็มาเสริฟ มาที่นี่ก็ต้องทานอาหารที่ทำด้วยปลาเช่น ปลากดผัดฉ่า และยำวุ้นเส้น ส่วนอีกอย่างคือต้มยำกุ้งซึ่งจะตามมาทีหลัง รสชาดบอกแค่เพียงว่าทานได้ ไม่ถึงกับอร่อยมากมายนัก
หลังจากทานอาหารเย็นที่นี่เสร็จ เราก็นำรถออกไปตลาดย่านตัวเมืองสังขละ หาขนมทาน เสร็จแล้วก็กลับมาที่พักดังเดิมเพื่อเตรียมตัวท่องเที่ยวต่อในวันรุ่งขึ้นซึ่งหวังว่าฝนคงจะตกลงมาน้อยลง :( จะได้ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับโปรแกรมที่วางไว้มากนัก

===============
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม ดูรูป อ่านเรื่องราว และลงชื่อทักทายกันครับ _/|\_
แล้วไว้รอลุ้นว่าพรุ่งนี้จะสามารถเที่ยวได้หรือไม่ หรือได้แต่นั่งดูทีวีในห้องรอฝนหายตกเพียงอย่างเดียว แล้วติดตามต่อไปครับ

Original Published on www.pantip.com at [ 28 ส.ค. 49 20:11:28 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/2006/08/E4663506/E4663506.html



เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น