หลังจากที่เมื่อคืนฝนตกที่เกาะมุกอย่างหนักหน่วงตั้งแต่เวลา 5 โมงครึ่งยันไปถึง 2 ทุ่ม เราสองคนติดฝนอยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์ดำน้ำ เจ้าของเป็นฝรั่ง partner กับ ชาลีบีช เราเข้าไปดูในร้านเห็นอุปกรณ์เยอะเลย มีทั้งฟิน(เด็กเล็กและผู้ใหญ่ ยี่ห้อ Mares), กล้องถ่ายใต้น้ำ และถุงใส่ฟิน ตอนแรกกะจะซื้อกล้องถ่ายใต้น้ำ แต่ดูไปดูมาไม่เอาดีกว่า รอเจ้ากล้องตัวดีฟื้นคืนชีพ แต่ก็ซื้อถุงใส่ฟินมาจนได้
หลังจากนั้นก็ไปหลบฝนที่ล็อบบี้ของเกาะมุก ชาลีบีช รีสอร์ท อยู่จนทุ่มหนึ่งถึงจะเดินตากฝนปรอยๆไปร้านอาหารของรับเบอร์ทรีบังกะโล แม้ว่าอะไรๆจะไม่ดี แต่ต้องยอมรับว่าอาหารที่นี่ให้เยอะและอร่อยมากๆ มีทั้งน้ำพริกกุ้งสดพร้อมผัก, ปูผัดผงกระหรี่, ปลาอะไรทอดซักอย่าง, แกงส้มปลาช่อนกุ้ง โอวว....คนใต้เรื่องกินเรื่องใหญ่และไม่อั้นจริงๆ อันนี้ต้องขอชมเชย
ในมื้อเย็นนี้ก็คุยกับอีก 4 คนที่มาร่วมทริปด้วย เป็นน้อง 3 คนส่วนอีกคนเป็นพี่เรา มีน้องแอ้ น้องจิ๊บ น้องทรี และอีกคนจำชื่อไม่ได้ 555 น้องเขาสอบถามเรื่องการมาเที่ยวทะเลอันดามันกับเราเพราะเห็นว่าเราเที่ยวบ่อยหล่ะมั้ง เพราะน้องๆมาเที่ยวอันดามันครั้งนี้เป็นครั้งแรก เราเลยแนะนำหลีเป๊ะไป ว่าสวยสุดยอดมากๆ น้องแอ้เขาดูสนใจมากๆ
คุยไปคุยมาก็คิดกันว่าถ้าพรุ่งนี้ฝนตกอย่างนี้อีก เราจะนอนเต็นท์ที่เกาะรอกได้เหรอ ? เลยซาวด์เสียงว่า ถ้ามีทีท่าว่าฝนจะตกช่วงบ่ายแก่ๆเราจะขอกลับมานอนที่นี่ดังเดิม เป็นแผนที่พวกเรา 6 คนได้วางไว้ล่วงหน้า
การนอนในคืนนี้ต้องขอบอกว่าสุดๆเลย เพราะกลิ่นห้องอับๆที่มาจากไม้ไผ่โดนฝนจนชื้น ทำให้ผมต้องนอนไปอาผ้าปิดจมูกไป ทรมานมากๆ แต่ก็หลับไปช่วงดึกๆจนตื่นมาเวลาประมาณ 6:30 น.จัดแจงอาบน้ำแล้วออกมาชมวิวพร้อมกับเสี่ยงดวงลุ้นหยิบกล้องที่เปิดไม่ได้ตั้งแต่เย็นวานมาทดสอบลองเปิดดูอีกครั้ง
ได้กล้องคืนมา แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เวลาถ่ายไปแล้ว รูปออกมาเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ่ายไปแล้วกี่รูปก็ไม่รู้ ยิ่งถ้าถ่ายใต้แล้วแล้วหล่ะก็ เล็งกันแบบมั่วๆเลยก็ว่าได้ เพราะมองจาก LCD ไม่ได้แล้ว ครั้นจะเอามาแนบกับตาก็ทำไม่ได้เพราะไหนจะขวางด้วยหน้ากากดำน้ำ และความขุ่นของน้ำอีก ทำได้อย่างเดียวคือเล็งๆแล้วกลับมาดูตอนกลับบ้านทีหลัง
รูปแรกที่ลองถ่ายก็คือรูปนี้ หน้าบ้านพัก โดยมีโมบายหน้าห้องเป็นแบบ
ออกมาทานอาหารเช้ากัน มื้อนี้เป็น American Breakfast ทานเสร็จก็เตรียมตัวแบกสัมภาระเดินลงไปหน้าหาดเตรียมลงเรือต่อไป
อุปกรณ์ที่เรานำมาเองจะมี หน้ากากดำน้ำตื้น และตีนกบหรือฟิน แล้วมาได้ถุงใส่ฟินที่นี่ด้วย
เรือแล่นออกจากเกาะมุกแล้ว เหลือเพียงความทรงจำที่ไม่ดีนักกับที่พัก แต่ธรรมชาติก็ยังสวยงามน่ามาเยือนเสมอสำหรับที่นี่
เกาะถ้านับจากทางด้านขวาคือ เกาะแหวน ถัดมา 2 เกาะจะเป็นเกาะเชือก และตามด้วยเกาะม้า ส่วนเกาะยาวๆด้านซ้ายสุดก็คือเกาะไหงนั่นเอง
เกือบๆชั่วโมงครึ่งเรือหางเราก็แล่นใกล้เข้ามากับเกาะรอกแล้ว อีกไม่นานคงจะได้เห็นน้ำทะเลใสๆที่นั่น
ภาพเอียงไปนิดเนื่องจากถ่ายในเรือขณะแล่น จะเห็นว่าเกาะด้านซ้ายมือคือเกาะรอกใน และเกาะด้านขวามือคือเกาะรอกนอก ซึ่งตอนแรกผมจำมาสลับกัน จนต้องรอคอนเฟิร์มจากคนเรืออีกครั้ง
เห็นไกลๆคิดว่าสองเกาะห่างกันไม่มาก แต่ที่ไหนได้ พอประมาณเลย
รูปสุดท้ายก่อนลงเรือ
จุดแรกที่พาไปก็คือหน้าหาดเกาะรอกนอกนี่หล่ะครับ ออกจากหาดไปประมาณ 30-40 เมตร หาอยู่นานกว่าจะเจอนีโม่ น้ำค่อนข้างขุ่น ภาพเลยไม่ชัดต่องขอโทษด้วยครับ
ตัวเดิมหรือเปล่าจำไม่ได้แล้ว
ปล.ภาพหยาบจัง ปรับอะไรตอนนั้นไม่ได้เลย เพราะปุ่มกดเสีย
ซุกซ่อนอยู่กับดอกไม้ทะเล
เกือบได้จ้องหน้ากันแล้ว
เจอปลาดาวด้วย
อันนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นหอยอะไร รอผู้รู้มาชี้แนะ
ต่อจากนั้นเรือก็แล่นไปยังจุดที่ 2 เป็นจุดที่อยู่ระหว่างรอกนอกและรอกใน
ปลาชนิดนี้ชอบว่ายพร้อมกันเป็นแถว
ปลาตัวนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่มีจุดวงกลมสีเหลืองเกือบๆถึงครีบหาง
จุดดำน้ำจุดที่ 2 นี้มีนีโม่ไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็พอที่จะเก็บรูปมาฝากได้
ว่ายไปมาตามดอกไม้ทะเล
เวลาถ่ายรูปนีโม่มา ผมไม่รู้เลยว่ามันจะถ่ายออกมาตรงหรืออยู่ในเฟรมหรือเปล่า เพราะจอ LCD เสียทำให้ไม่สามารถเห็นได้ ได้แต่กะเอา
ดำไปสักพัก แฟนผมก็ตะโกนเรียกให้มาดูปลาปักเป้า ตัวลายพร้อยเลย
ที่จุดนี้คลื่นออกจะแรงไปนิด เห็นได้จากดอกไม้ทะเลปลิวไสว
ในที่สุดก็เจอเจ้านี่จนได้ ปลาปักเป้าหน้าหมาหรือเปล่า ?
หอยมือเสือแบบใกล้ๆซึ่งแทบจะเอามือไปสัมผัสได้เลย และหลังจากนั้น เมมโมรี่ของกล้องก็เต็ม เลยเก็บภาพไว้เพียงเท่านี้
หลังจากนั้นก็กลับมาที่ชายหาดจุดกางเต็นท์อีกครั้ง แต่คราวนี้น้ำไม่ไหลครับท่าน ทำอย่างไรหล่ะ พวกเราเริ่มงอแงกันแล้ว เพราะไม่ใช่เพียงไม่ได้อาบน้ำเท่านั้น แต่เรื่องเข้าห้องน้พอีกหล่ะ จะทำอย่างไรกัน พวกเรา 6 คนเลยพร้อมใจกันจะกลับเกาะมุก แต่ทัวร์เองก็ตัดสินใจไม่ได้ และพยายามประวิงเวลาว่าเดี๋ยวก็ไหล เขาเปิดน้ำเป็นเวลา จนผมต้องวิ่งไปถามเจ้าหน้าที่อุทยานด้วยตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าหน้าที่อุทยานก็ตอบอะไรมากไม่ได้ บอกเพียงเราเปิดปิดน้ำเป็นเวลา เดี๋ยว 5 โมงครึ่งก็เปิดแล้ว ผมมันไม่ค่อยเชื่อเลยวิ่งไปถามช่างเครื่องที่อยู่ตรงปั๊มน้ำ ปรากฏว่าปั๊มน้ำเสียจริงๆด้วย เขาเองบอกว่าถ้าไม่เสียมันก็ไหลตลอดแหล่ะ ดูสิ.....พูดไม่ตรงสักคน
หลังจากนั้นผมก็รอน้ำที่ฝักบัวเลย เป็นคนแรกที่ได้อาบน้ำ เฮ้อ....ทำไมไม่มีห้องอาบน้ำดีๆนะ มีแต่อาบโล่งๆ แล้วผู้หญิงจะทำยังไงกัน หรือผมมองไม่เห็นก็ไม่รู้
อาบน้ำเสร็จก็มานั่งที่โต๊ะไม้คุยกันเพื่อรออาหารเย็นจากทัวร์ ตอนนี้เองที่เราได้ทราบข่าวว่า มีคนเสียชีวิตจากน้ำป่าไหลหลากที่น้ำตกสายรุ้ง อ.ปะเหลียน จ.ตรัง ตอนนั้น 18 ศพแล้ว โห.....น่ากลัวจัง เราขอไว้อาลัยกับผู้เสียชีวิตด้วยคนนะครับ.....
มื้อเย็นวันนี้ก็เป็นอาหารทะเล มีปลาหมึก ปู แกงส้ม และปลาเก๋าจากที่ไกด์ทัวร์ได้ตกมาสดๆร้อนๆด้วย อาหย่อยยยไปตามๆกัน และที่นี่เราได้เจอกับพรายทะเลครั้งแรกด้วย แปลกจริงๆ เวลาคลื่นซัดมาจะเป็นเป็นจุดๆสีฟ้า ถามไกด์ๆบอกว่าเป็นฟอสฟอรัสชนิดหนึ่ง เสียดายที่กล้องเมมหมดเลยไม่ได้ถ่ายมาดู
คืนนี้เราเข้านอนที่เต็นท์ประมาณ 3 ทุ่ม เข้าไปก็ร้อนเลย รู้อยู่แล้วว่านอนเต็นท์ที่ทะเลมันร้อนมาก มีประสบการณ์มาจากสิมิลัน จนผมต้องถอดเสื้อนอน จนหลับบ้างไม่หลับบ้าง ดีที่ตอนดึกใกล้สว่างมีฝนตกลงมา พอคลายร้อนไปบ้าง
ตอนเช้าตื่นมาท่ามกลางอากาศแจ่มใส ทานข้าวต้ม กาแฟแบบไม่มีคอฟฟี่เมต และขนมปังทาน้ำพริกเผา ไม่นานก็ต้องอำลาเกาะรอกไปแล้ว
ตอนกลับฝั่งค่อนข้างน่ากลัวพอควร เนื่องจากคลื่นสูง เรือหางยาวแล่นตัดคลื่นตลอด บางทีเหมือนๆกับจะตะแคง จนผมต้องบอกแฟนให้ใส่เสื้อชูชีพไว้ก่อนดีกว่า แต่พอผ่านไปได้ประมาณ 1 ชม.ทะเลก็ค่อยเรียบมาบ้าง จึงคลายความกังวลไป จนถึงฝั่งที่ท่าเรือควนตุ้งกูประมาณ 10:30 น. ใช้เวลาเดินทางกลับจากเกาะรอกประมาณ 2 ชม. มื้อสุดท้ายของทัวร์คือร้านขนมจีนชื่อดังของตรังเขา หลังจากนั้นก็ไปส่งที่ออฟฟิศรับเบอร์ทรี ซึ่งรถเราจอดไว้ที่จอดรถของโรงแรมธรรมรินทร์ใกล้ๆกัน เราบอกลากับกรุ๊ปน้องๆ 4 คนที่ตรงนี้ โดยเราจะกลับกทม.เลย ส่วนพวกเขาจะไปเที่ยวต่อที่กระบี่อีก 1 คืน เราเลยแนะนำเกาะห้องไป
เราออกจากตรังประมาณเที่ยงครึ่ง กะว่าไปถึงกรุงเทพ 4 ทุ่ม โดยไม่แวะ แต่ก็ต้องแวะบ้านเพื่อนคนหนึ่งซึ่งอยู่ที่ทับสะแก ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อนหญิงที่รู้จักกันในห้อง BP แห่งนี้แหล่ะ คนๆนั้นคือคุณผึ้ง(honeybfit) ซึ่งตอนนี้เธอเป็นเจ้าของแมวอันโด่งดังของห้องจตุจักร นั่นคือ "ปี้เสือหื่น"
เราไปถึงทับสะแกประมาณ 6 โมงครึ่งได้ ความที่มือถือทั้งคู่แบตหมด เลยโทรสาธารณะทุลักทุเลหน่อยในการติดต่อว่าทางเข้าบ้านอยู่ตรงไป แต่สุดท้ายก็เจอจนได้
ขอขอบคุณมิตรภาพดีๆที่มีให้กันแม้ว่าไม่เคยรู้จักหน้าค่าตากันมาก่อนเลย จะมีก็เพียงตัวหนังสือที่เป็นสื่อกลางในการเชื่อมความสัมพันธ์อันดีเท่านั้นเอง
ขอบคุณการต้อนรับอันอบอุ่นจากคุณผึ้งและแม่
ขอบคุณบาคาดี้เย็นๆชื่นใจ
ขอบคุณอาหารมื้อเย็นและข้าวเหนียวมะม่วง
ขอบคุณไกด์จำเป็นที่พาเที่ยวทะเลใกล้ๆแม้ยามมืดค่ำ ขอบคุณเจ้าปี๊เสือหื่น, ตุ้งติ้ง, และเสี่ยวโบ้ที่น่ารักทุกตัว และสุดท้าย
ขอขอบคุณมิตรภาพจากโลกไซเบอร์แห่งนี้ที่ชื่อว่า Blue Planet ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น