สังเกตว่าเรือหางยาวที่อ่าวนางนั้นมีสปอนเซอร์ใหญ่เป็นธ.ไทยพาณิชย์ เห็นได้จากผ้าใบที่ปิดบังแดดให้นักท่องเที่ยวบนเรือในแต่ละลำ
แนวตั้งบ้าง
แดดเริ่มออกมาบ้างแล้วหล่ะ ฟ้าสวยไปอีกแบบ
หลังจากที่รออยู่ที่ออฟฟิศบาราคูดัสประมาณ 15-20 นาที ก็ได้เวลาลงเรือกันแล้วครับ เรือของผมหมายเลข 10
ในเรือลำนี้มีนักท่องเที่ยวประมาณ 18 คน เป็นคนไทยซะ 7 คน(ครอบครัวมากันพ่อ,แม่,ลูกรวม 5 คน) นอกนั้นเป็นชาวต่างชาติ
เรือออกจากอ่าวนางประมาณ 9:24 น.
เสียงเครื่องยนต์ดัง ตับๆๆ ไปเรื่อยๆ คงชินแล้วสำหรับคนเรือ ตัวเรือก็แหวกน้ำทะเลฝั่งอันดามันเป็นจังหวะๆ จุดหมายปลายทางอยู่ที่เกาะทับ เกาะหม้อ และเกาะไก่(เกาะด้ามขวาน) รวมกันแล้วคือแหล่งที่ให้กำเนิดสิ่งมหัศจรรย์ทางทะเลฝั่งอันดามันของไทย คือทะเลแหวกนั่นเอง
10 โมงเช้าพอดิบพอดี เรือพาพวกเรามาถึงยังทะเลแหวก โดยจอดเรือบริเวณระหว่างเกาะทับและเกาะหม้อ
หลายคนลงจากเรือก็ชักภาพความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาตินี้เป็นเป็นที่ระลึก ผมก็คนหนึ่ง
ฝั่งเกาะทับ ก็มีโขดหินกับน้ำทะเลใสๆ เช่นกัน
มองมาทางฝั่งเกาะไก่บ้าง(หัวไก่จะอยู่อีกด้านหนึ่ง ตรงกันข้ามกัน)น้ำทะเลเขียวใส
ด้านนี้เป็นเกาะหม้อครับ สังเกตทะเลยังแหวกไม่สุด สันทรายยังมีน้ำทะเลท่วมอยู่ คงต้องรอเวลาจนน้ำลดอีกหน่อย
เรือจอดให้พวกเราเล่นน้ำ ถ่ายรูป 1 ชม.เต็ม ด้านหลังที่เห็นเป็นเกาะปอดะ
พอเดินลงไปในน้ำ ปลาเสือก็พากันว่ายเป็นขบวนไปๆมาๆ ผ่านตัวผมรอบแล้วรอบเล่า
ก่อนจะจากทะเลแหวกไป สันทรายช่วงเกาะทับและเกาะหม้อแหวกมากขึ้น ส่วนระหว่างเกาะทับและเกาะไก่นั้น ยังอีกนานกว่าจะแหวก แต่พวกเราไม่มีเวลาแล้ว จึงต้องรีบออกไปดำน้ำรอบๆเกาะไก่ต่อไป
เรือออกจากทะเลแหวกอ้อมมาทางด้านหน้าของเกาะไก่ หรือชาวต่างชาติรู้จักในนาม Chicken Island เพราะมีรูปร่างเหมือนหัวไก่ แต่ผมมองแล้ว บางทีมันก็เหมือนเต่านะ
แต่ถ้ามองแบบเดี่ยวๆแบบนี้ก็จะเหมือนหัวไก่มาก
หลังจากนั้น ทัวร์ก็พาพวกเราไปดำสน็อกเกิ้ลบริเวณใกล้ๆเกาะไก่ประมาณ 30 นาที ตรงจุดนี้มีปลาเสือมาว่ายโชว์ตัวเยอะมาก น้ำทะเลก็ใสด้วย
ต่อจากนั้นจึงแล่นผ่านทะเลแหวกไปยังเกาะปอดะ
เรือแล่นอ้อมเกาะปอดะเพื่อไปจอดยังจุดที่จอดเรือ
ว้าว....น้ำทะเลเขียวใสจังเลยยย
มาถึงแล้วหล่ะครับเกาะปอดะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะละแวกนี้ โดยมีที่พักเป็นรีสอร์ทด้วย
หลบร้อนมาพักในร่มไม้ก่อนดีกว่า
ณ บริเวณร่มไม้ต้นสนเหล่านี้แหล่ะที่เหล่าลูกทัวร์รวมทั้งผมด้วย พากันนำอาหารกล่องที่แจกจ่ายจากทัวร์มาทานกันเป็นมื้อกลางวัน ยอมรับว่าราคาระดับนี้(350 บาทต่อคน)ก็คงได้บริการแบบนี้แหล่ะครับ คงไม่หวังอะไรมาก
มาครั้งนี้ผมเจอกับเพื่อนเก่าอีกแล้ว เป็นเพื่อนสมัยเรียนป.โทซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกัน เขามากับเพื่อนๆ มาเจอกันที่ทัวร์บาราคูดัสพอดี ก็ทักทายกันตามประสาเพื่อนฝูง ลืมบอกไปว่าเขาเป็นผู้หญิง
ทานมื้อกลางวันอิ่มแล้ว ก็ได้เวลาส่องกล้องถ่ายวิวต่างๆรอบเกาะปอดะ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นฝรั่งนอนอาบแดด
นี่แหล่ะ ผมว่านี่คือสัญลักษณ์ของเกาะปอดะ โดยจะมีหินลักษณะนี้ตั้งอยู่ห่างจากเกาะออกไปไม่มากนัก มาที่นี่เกือบทุกคนจึงต้องมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้
นี่ก็อีกจุดหนึ่ง บ่งบอกว่าคุณได้มาถึงปอดะอย่างแท้จริง ด้านในก็จะเป็นร้านอาหารและที่พักของรีสอร์ทแห่งเดียวในเกาะนี้
อีกมุมหนึ่งละกัน
แนวตั้งบ้างนะ
เมฆมาปกคลุมเยอะแล้ว เป็นสัญญาณว่าฝนตั้งเค้าจะตกในช่วงเวลาอันใกล้นี้
เรือเหงาๆ 2 ลำ รอผู้โดยสารกลับจากนอนอาบแดด
สุดท้ายฝนก็ตกลงมาจริงๆด้วยครับ แต่ไม่หนักมาก ส่วนผมไม่สนใจนักเนื่องจากดำสน็อกเกิ้ลอย่างเดียว อยู่ที่ปอดะนี้ 2 ชม.จนเต็มอิ่ม
จากเกาะปอดะทัวร์พาพวกเรามาที่อ่าวพระนางเป็นที่สุดท้าย ปล่อยให้ลูกทัวร์เล่นน้ำหรือพักผ่อนอยู่ที่นี่ 1 ชม.
อีกวิวหนึ่ง
ณ อ่าวพระนางแห่งนี้ หลายๆคนคงทราบดีว่ามีรีสอร์ทหรูที่ชื่อว่ารายาวดีตั้งอยู่ ผมยังไม่เข้าใจว่ารีสอร์ทอะไรทำไมราคามันแพงหูฉี่อย่างนี้นะ
มุมนี้ที่ส่วนใหญ่มักถ่ายกันมาถ้ามาเยือนอ่าวพระนาง
ตรงจุดนี้ มีฝรั่งนอนอาบแดดกันเยอะเหมือนกันนะเนี่ย
บ่ายสามโมงกว่าก็เป็นอันจบทริป 4 เกาะ เรือนำพวกเรามาส่งที่อ่าวนาง แล้วขึ้นรถไปลงตามจุดต่างๆยังที่พักของแต่ละคน
ผมขออาบน้ำกับทางเกสท์เฮ้าส์ก่อนที่จะไปยังสนามบินกระบี่เพื่อกลับกรุงเทพต่อไป แต่ก่อนไปผมมีเวลาเหลือ จึงเดินไปหาอะไรทานก่อน เสร็จแล้วจึงไปขึ้นรถตู้โดยติดต่อคุณเลจายให้มารับไปส่งที่สนามบิน แต่ครั้งนี้ผมขอจ่ายเงิน คุณเลจายก็คิดราคาทุนเหมือนเดิม ขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ครับ
รถตู้มาส่งที่อาคารใหม่ ผมเองเข้ามายังงงๆเล็กน้อยเลย เพราะขามายังใช้อาคารเก่าอยู่เลย ไหงผ่านไปแค่ 2 วันเปลี่ยนมาเป็นอาคารใหม่แล้ว เลยไม่พลาดที่จะเก็บภาพสนามบินกระบี่สวยๆ อินเตอร์ๆ มาฝากกันครับ
ในรูปเป็นเคาน์เตอร์เช็คอิน ที่ต่อแถวยาวๆก็แอร์เอเชีย ขวัญใจแบ็คแพ็คเกอร์ของจริง ส่วนสีม่วงนั้นของพี่เบิ้ม การบินไทยครับ
ทางเข้าสำหรับผู้โดยสารขาออกครับ เพดานเล่นแสงสีฟ้าสวยงามดี
เป็นโถงโล่ง แลดูสบายๆไม่อึดอัดดีครับ
สุดท้าย ท้ายสุด ขอจบทริปเมืองร้อยเกาะ จ.กระบี่ ด้วยภาพเครื่องบินแอร์เอเชียที่จอดรอผู้โดยสารกลับกรุงเทพครับ
===============
เพิ่มเติม : สรุปค่าใช้จ่ายในทริปนี้
1.ค่าเดินทาง
เครื่องบินภายในประเทศ(ไป-กลับ)กรุงเทพ-กระบี่ by AirAsia เบ็ดเสร็จ = 2,030.86 บาท
ค่ารถตู้(ไป-กลับ)จากสนามบินกระบี่-อ่าวนาง = 0 + 300 บาท = 300 บาท
ค่ารถสองแถวจากอ่าวนางไปหาดนพรัตน์ธารา และขากลับมาอ่าวนางโดยรถมอเตอร์ไซด์ต่อเติม = 10 + 20 =30 บาท
รวม 2,360.86 บาท
2.ค่าที่พัก
xxxเกสท์เฮ้าส์ ห้องแอร์+น้ำอุ่น+SAT. TV คืนละ 600 บาท x 2 คืน = 1,200 บาท
3.ค่าแพ็คเกจทัวร์
-ทัวร์เกาะห้อง & พายคายัค + หมู่เกาะใกล้เคียง = 500 + 500(เช่าเรือคายัค) = 1,000 บาท (โดยซีคายัค)
-ทัวร์ 4 เกาะพร้อมดำน้ำตื้น ทะเลแหวก(เกาะทับ เกาะหม้อ และเกาะไก่), เกาะปอดะ อ่าวพระนาง = 350 บาท (โดยบาราคูดัส)
รวม 1,350 บาท
4.ค่าอาหารนอกแพ็คเกจ = 1,025 บาท
5.ค่ากล้องถ่ายใต้น้ำ(ยี่ห้อฟูจิ) = 500 บาท
รวมทั้งหมด = 6,435.86 บาท
===============
ทริปนี้ขลุกขลักหลายอย่างทีเดียว บางอย่างที่ไม่น่าจะมีก็มี แต่ท้ายสุดแล้ว ทำให้ผมเข้าใจว่ายังไงซะก็ยังมีคนพื้นที่ที่จิตใจดีงามไม่หวังแต่เพียงธุรกิจเสมอไปยังคอยช่วยเหลือเพื่อนๆอยู่ คือคุณเลจายนั่นเอง ส่วนอีกคน ขอยกให้ไกด์ที่พาไปเกาะห้องชื่อเล็ก ที่อัธยาศัยดี คอยช่วยเหลือต่างๆกับลูกทัวร์ เป็นกันเองดีมาก แค่นี้ผมเองก็ประทับใจกระบี่ไม่รู้ลืมแล้วหล่ะครับ แน่นอน ถ้ามีเวลาจะกลับมาอีกครับ
===============
ขอขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่แวะมาเยี่ยมชม ดูรูป อ่านเรื่องราว และลงชื่อทักทายกันครับ _/|\_ หลังจากทริปนี้แล้ว คงอีกนานเลยที่จะไปตะลอนเหมือนอย่างเก่า ผมเลยขอมาเป็นผู้อ่านเรื่องราวการเดินทางของเพื่อนๆในกลุ่มย่อยบันทึกนักเดินทางนี้ดีกว่าครับ มีความสุขทั่วกันนะครับ
Original Published on www.pantip.com at [ 30 มี.ค. 49 18:53:45 ]
[ตอน 1] [ตอน 2] [ตอน 3] [ตอน 4]
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น