หลังจากถ่ายรูปร่วมกันในกิจกรรมธารน้ำใจเพื่อการศึกษาแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายไปทำธุระของแต่ละคน จะเจอกันใหม่อีกครั้งในกิจกรรมดีๆก็ปลายปีโน่น
ผมและเพื่อนร่วมงานอีก 3 คันตกลงจะไปที่วัดถ้ำเทพบันดาล อยู่ห่างออกไปประมาณ 6 กม.ซึ่งอบต.สามแยกได้จัดทำแผ่นพับสถานที่ท่องเที่ยวไว้ สิ่งที่เราสนใจคือ ข้าวสารกลายเป็นหินว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร อยากทราบ ตามมาเที่ยวด้วยกันเลยครับ
จัดแจงหาที่จอดรถ แล้วเริ่มเดินค้นหาข้าวสารกลายเป็นหิน จากที่จอดรถเดินขึ้นไปด้านหลังไม่ไกลนัก จะเจอกับป้ายบอกตำแหน่งของหิน พอดีมีพี่ที่เขาอยู่ที่นี่นำน้ำเปล่ามาด้วย มาทำไมเหรอครับ ก็นำมาราดก้อนหินให้เราได้ดูลวดลายกันชัดเจนไงครับ ตอนแรกก็งงๆเหมือนกัน
เข้ามาดูใกล้ๆดีกว่า ว่าทำไมถึงมีชื่ออย่างนี้
เมื่อดูใกล้ๆจะพบลวดลายในหินเหมือนกับว่ามีเม็ดข้าวสารเรียวยาวสีขาวแทรกซึมอยู่ทุกอนูของหินก้อนดังกล่าวนี้ แต่จริงๆแล้วเป็นซากดึกดำบรรพ์ของ ฟูชูสินิด หรือคนโบราณเรียกว่า คตข้าวสาร เป็นสัตว์เซลล์เดียวตัวเล็กๆที่อาศัยอยู่ในทะเล ทับทมกันมาที่ก้นทะเลนานนับ 250-300 ล้านปี ต่อมาบริเวณดังกล่าวจึงกลายมาเป็นแผ่นดิน ให้เราได้เห็นซากฟอสซิลนั่นเอง
ต่อจากนั้น เรามุดไปดูภายในถ้ำเทพบันดาล มีหินงอกหินย้อยเช่นกัน เป็นถ้ำไม่กว้างมากนัก ภายในมีพระพุทธรูปท่ายืนให้ประชาชนกราบไหว้อยู่
ทางลงถ้ำค่อนข้างแคบ แต่มีบันไดที่ทำด้วยเหล็กแข็งแรงเป็นอย่างดี
ต่อจากนั้น เรามุ่งหน้าสู่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ โดยเข้าทางหลวงหมายเลข 2089 จากแยกอ.ชัยบาดาล เส้นทางนี้ชาวบ้านจะปลูกอ้อยอยู่ตลอดทั้งสองข้างทาง แลดูสวยงามมาก แต่ทั้งนี้เวลาขับรถต้องระวังรถบรรทุกอ้อยด้วยนะครับ เพราะใช้รถไถในการลากจูง
ผมหาจังหวะเหมาะ เพื่อจอดรถเข้าไปในซอยเล็กๆ เพื่อเก็บภาพซากต้นอ้อยที่เก็บเกี่ยวไปแล้ว แลดูเป็นสีทองสวยงามดี
อีกแปลงหนึ่ง ต้นอ้อยกำลังสีเขียวสดอยู่เลย รอวันเก็บเกี่ยวเพื่อไปทำน้ำตาลให้เราใช้บริโภคกัน
สี่โมงยี่สิบ พวกเรา 3 คันขับตามกันมาถึงเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์พอดี ที่นี่บรรยากาศเปลี่ยนไป จากครั้งก่อนๆที่ร้อนไม่มีต้นไม้ใหญ่ ถูกแทนที่ด้วยต้นลีลาวดีเอย ต้นปาล์มเอย ต้นปลง ฯลฯ ไม้ประดับสวยงามนานาพรรณ เป็นที่ร่มเย็นยิ่งนัก
กลีบดอกบิดตัวเป็นเกลียว คล้ายๆรูปดาว
ชอบตรงที่มีแมลงมาเกาะพอดีนี่แหล่ะ
ดอกลีลาวดีร่วงหล่นลงบนพื้นหญ้าเป็นวัฏจักรของมัน ริมเขื่อนป่าสักฯ
ส่วนพุ่มนี้กำลังแย่งกันชูช่อสีขาวสวยเลยครับ
มาชมวิวเขื่อนดินกันบ้างครับ เสียดายที่เห็นไกลออกไปเป็นควันสีดำที่ปล่อยออกมาจากโรงงานอุตสาหกรรม
หันมามองอีกฝั่งหนึ่ง หลายคนอยู่ในอิริยาบถสบายๆ บ้างก็นอนพักผ่อนบนเสื่อใต้ร่มเงาของต้นไม้ บ้างก็สนุกสนานกับการหาสัตว์น้ำที่แหวกว่ายอยู่ในเขื่อนพระราชทานแห่งนี้
สายน้ำกระทบฝั่งพร้อมกับลมเย็นๆพัดแผ่วมา บอกได้เลยว่า นักบันทึกการเดินทางอย่างผมนั้นจะมีความสุขแค่ไหน
ณ เวลานี้ก็ห้าโมงกว่าแล้ว เป็นเวลาของแดดร่มลมตก ผู้ที่มาเท่านั้นถึงจะรู้ว่าความสงบและสดชื่นเป็นอย่างไร ผมอยากแบ่งปันความสุขนี้จัง
หลังจากทานอาหารเสร็จ ผมขอตัวเพื่อไปเดินดูบรรยากาศสถานที่กางเต็นท์ที่อยู่ตรงหัวมุมเขื่อน ระหว่างทางก็ถ่ายรูปดอกไม้ไปเรื่อย
อีกดอกหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าชื่ออะไร สีแดงสดคล้ายๆปะการังใต้น้ำ
ที่นี่มีบริการให้เช่าเต็นท์ บ้านพัก หรือนำเต็นท์มาเองก็ได้
ในรูปเป็นเต็นท์เดี่ยว กางเดียวดายอยู่ท่ามกลางต้นมะพร้าว เหมาะสำหรับคนมาเป็นคู่ที่รักสงบนะครับ
เต็นท์คู่ครับ เหมาะสำหรับเพื่อนฝูงที่มาพักผ่อนกัน 4-6 คน
ใครต้องการเช่าเต็นท์ ราคาไม่รวมเครื่องนอน 200 บาท ถ้ารวมเครื่องนอนด้วย 300 บาท แต่หากนำเต็นท์มาเอง เสียค่าพื้นที่ 70 บาท/เต็นท์ สำหรับเต็นท์ละ 2-3 คน ส่วนเกินกว่านั้น เต็นท์ละ 140 บาท
กรณีต้องการสำรองบ้านพัก ติดต่อ 036-494243
แห่ะๆ ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ เห็นเป็นข้อมูลที่ดี เลยนำมาฝาก
พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าแล้วหล่ะครับ บรรยากาศดีมาก มองออกไป ผมนึกถึงทะเลทางอันดามันโดยเฉพาะตรัง ที่เวลาล่องเรือไปเกาะกระดาน จะเห็นรีสอร์ทแห่งหนึ่งที่ปลูกไว้ริมน้ำยื่นๆมาอย่างนี้นี่แหล่ะครับ
หมดแล้วหล่ะครับ สำหรับวันเสาร์ธรรมดาแต่พิเศษวันนี้ กับการปลื้มใจในการทำบุญบริจาคสิ่งของให้เด็กๆในช่วงสายๆ และต่อมาจนถึงช่วงเย็นในการพักผ่อนร่างกายและจิตใจ ณ เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ทำให้เรารู้ว่า สิ่งใดดีๆที่เราตั้งใจจะทำ มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เพียงแต่จะใช้เวลาเตรียมตัวและฝึกฝนอยู่บ้างก็แค่นั้นเอง
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาร่วมอ่านเรื่องราวและชมรูป แล้วไว้เจอกันใหม่ สวัสดีครับ
Original Published on www.pantip.com at [ 6 ก.พ. 49 19:26:51 ] as below link
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น