สำหรับผมแล้ว เป็นการไปอีกเป็นครั้งที่สองกับอช.ภูหินร่องกล้า แต่กับภูทับเบิกนั้น ผมแค่ผ่านทางเข้าตอนออกจากอช.เฉยๆ จึงอยากที่จะไปสัมผัสอากาศเย็นๆ พร้อมชมวิวแปลงกระหล่ำปีที่เขาว่าใหญ่ที่สุดในประเทศ อีกประการหนึ่งก็คือ มาเพื่อฉลองรถเก๋งส่วนตัวครับ 200,000 กม. ในการรับใช้ผมตะลอนไปในจังหวัดต่างๆของไทยโดยไม่เคยงอแงเลยสักครั้ง
ครั้งนี้ ผมลังเลเรื่องเส้นทางขึ้นภูทับเบิกอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเคยขับผ่านเส้นทางนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่เป็นการขับขึ้นทางด้านนครไทยและกลับทางด้านหล่มเก่า ซึ่งทางกลับนั้นชันและสภาพเส้นทางแย่เอามากๆ แต่อีกใจหนึ่งก็อยากลองขึ้นเส้นนี้เพราะไม่อยากซ้ำเส้นทางเดิม และเพื่อพิสูจน์สภาพรถเก๋งขนาดเล็ก 1500 cc. เกียร์ออโต้ อายุ 8 ปีว่ายังไหวอยู่หรือเปล่า จึงเป็นที่มาของการขึ้นภูทับเบิกทางเส้นนี้
ทริปครั้งนี้ไม่เมื่อกับครั้งก่อนๆ ที่ผมมักจะเริ่มทริปที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีเหตุผลบางอย่างคือรับใครบางคนไปด้วยเสมอ แต่กับทริปนี้ผมเริ่มที่สระบุรี สถานที่ทำงานของพวกเรา นัดแนะกับเพื่อนร่วมงานอีก 4 คนว่าจะออกตัวกันที่ไหน และใครไปกับใครบ้าง
พวกเรา 5 ชีวิตกับรถ 2 คัน ผมขับรถส่วนตัวเองและอีกคนนั่งกับผม ส่วนอีกคันนั่งกัน 3 คน เป็นรถกระบะ Corolado เพิ่งถอยมาได้ไม่กีเดือน รถออกจะติดนิดหน่อยจากตัวเมืองสระบุรไปทางพุแค แต่พอเลยแยกไฟแดงแล้วสภาพก็คล่องตัวดี ไม่นานนักเราก็มาจอดแวะที่ปั๊มบางจากเพื่อทานกาแฟสดกัน ของผม Cappuchino เย็น ซึ่งเป็นรสชาดประจำ
หลังจากแวะทานกาแฟสดแล้ว เรามุ่งหน้าไปเจอกันที่วิเชียรบุรี เพื่อแวะทานไก่ย่างอันลือชื่อในมื้อกลางวัน
ร้านบัวตองที่เคยแวะมาทานอยู่ประจำถึง 2 ครั้ง มาครั้งนี้เข้าไม่ได้ครับ รถจอดเต็มไปหมด เราเลยเปลี่ยนเป็นร้านข้างๆซึ่ง หลังจากได้ชิมอาหารแล้ว พวกเราสรุปกันว่าเราเองน่าจะนั่งรอที่ร้านบัวตองจะดีกว่า เพราะรสชาดอาหารที่ร้านนี้ธรรมดามาก แต่ก่อนออกเดินทางต่อเราก็แวะซื้อไก่ย่าง 1 ตัวที่ร้านบัวตองเอาไว้ทานตอนมื้อเย็น
รายการอาหารมื้อกลางวันก่อนจะเข้าภูทับเบิก
พวกเราขับรถมาเรื่อยๆ บ่ายโมงครึ่งก็มาถึงทางขึ้นภูทับเบิกด้านหล่มเก่า แต่ก่อนจะเริ่มขึ้นภูนั้น เราสำรวจโรงเรียนที่อยู่ใกล้ๆบริเวณตีนภูก่อน ได้เห็นมี 2 โรงเรียนซึ่งดูสภาพแล้วยังถือว่าอยู่ในมาตรฐานไม่ยากจน อีกทั้งยังมีชุมชนในละแวกใกล้เคียงที่ฐานะค่อนข้างปานกลาง เราจึงได้เลยไปหาโรงเรียนใหม่บนภูกัน
เส้นทางต่อจากนี้จะขึ้นเขาอย่างเดียว ระยะทางราวๆ 15-18 กม.
สภาพเส้นทางขึ้นภูทับเบิกฝั่งหล่มเก่า ปีที่แล้วกับปีนี้ ยังไงยังงั้นเลย ค่อยๆหยอดไปครับ
ระหว่างทาง มีรถกระบะเจ้าถิ่นขึ้นนำหน้า ควันดำตลอด เราคุยกันว่าจะไปรอดหรือเปล่า สุดท้ายไปรอดครับ เชี่ยวจริงๆ สักพักก็จะเจอจุดแวะพักทั้งรถและคน จอดรถเสร็จก็เดินขึ้นเนินเพื่อไปดูวิวที่จุดชมวิวแห่งแรกครับ
ทางขึ้นมีแม่ค้าเด็กชาวม้งขายของอยู่ครับ มองดูน่าจะเป็นน้ำเต้าแล้วมาตัดเป็นภาชนะคล้ายๆตะบวยหรืออะไรสักอย่าง
ขึ้นมาด้านบนจะมีลานกว้างพอประมาณที่จะกางเต๊นท์ได้ แต่ส่วนใหญ่แล้ว นักท่องเที่ยวจะไม่ค่อยชอบกางที่จุดนี้เท่าไหร่ เนื่องจากระดับความสูงยังไม่สูงพอและอากาศก็ยังไม่เย็น วิวรอบๆก็ไม่มีแปลงกระหล่ำ
ถึงจุดชมวิว บ้านดอยน้ำเพียงดินแล้ว
วิวเมื่อมองจากจุดชมวิวแห่งแรกมายังเบื้องล่าง เห็นเขาเป็นลูกคลื่น
ผมชอบรูปนี้มาก กำลังเล็งอยู่ อยู่ดีๆก็มีผีเสื้อบินเข้ามาแย่งซีนวิวภูเขาเฉยเลย โชคดีจริงๆเรา
หลังจากชมวิวเสร็จเราก็เริ่มขับขึ้นภูกันต่อ ระหว่างทางเจอรถเก๋งทะเบียนกทม. 2 คันจอดตายอยู่ริมข้างทาง เป็น Accord 1 คันอีกคันจำไม่ได้ ได้รับทราบภายหลังจากเพื่อนเขาที่ล่วงหน้ามาข้างบนว่าน่าจะเกียร์มีปัญหา สงสัยแผ่น Disc กับแผ่น Plate จะสลิป เป็นอุทาหรณ์ให้ เวลาเราจะขับรถทางไกลหรือขึ้นดอยควรเช็คสภาพรถทั้ง เครื่องยนต์ เกียร์ ระบบเบรค ช่วงล่าง ฯลฯ ก่อนครับ
เอ๊ะ...ต้นไม้อะไรนะ ดอกมันรูปร่างแปลกๆดี เคยเจอแล้วตอนไปเขาค้อเมื่อปีที่แล้ว แต่จำชื่อไม่ได้
ณ จุดนี้เป็นจุดชมวิวแห่งที่สองซึ่งอยู่ติดกับทางเข้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้าฝั่งหล่มเก่าหรือด่านทับเบิกนั่นเอง จุดนี้มีต้นไม้แบบนี้เยอะ ผมคิดว่าต้นระฆัง แต่มีเพื่อนนักท่องเที่ยวใจดีเห็นว่าเราอยากทราบนามต้นไม้นี้ เลยบอกกับเราว่า ต้นนี้มีชื่อว่า ต้นลำโพง .....อ๋อ...มิน่า ดอกเหมือนลำโพงจริงๆ
ณ จุดนี้ มองเห็นหมู่บ้านดอยน้ำเพียงดินอยู่ไกลลงไป
สภาพเส้นทางก่อนจะมาถึง ณ จุดนี้ เล่นเกือบเดี้ยงเหมือนกัน
เราอยู่ที่จุดชมวิวแห่งนี้พอสมควรก็เลี้ยวรถไปภูทับเบิกซึ่งอยู่ด้านขวามือ มีป้ายบอกชัดเจน เส้นทางปูด้วยคอนกรีตอย่างดี สภาพยังใหม่อยู่เมื่อเปรียบกับเส้นทางที่ขึ้นมาก่อนหน้านี้ ณ ตอนนี้แปลงกระหล่ำได้ถูกเก็บเกี่ยวซะส่วนใหญ่แล้ว คงเหลือไว้ดังสภาพที่เห็น
รอยรถกระบะ ที่เจ้าของกำลังง่วนเก็บเกี่ยวกระหล่ำอยู่ด้านบน
หันมาอีกด้านหนึ่ง ยังมีแปลงกระหล่ำสีเขียวสดรอเก็บเกี่ยวอยู่ ผลยังไม่โตเท่าไหร่
กระต๊อบเดียวดายท่ามกลางแปลงกระหล่ำปลี
สภาพด้านบน ณ จุดชมวิวและพักแรมที่ภูทับเบิก รถส่วนใหญ่มากกว่า 70% ทะเบียนกทม.
ที่ป้ายบอกความสูงของภูทับเบิกนี้แหล่ะ คนเดินมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไม่เว้นแต่ละนาที แต่ระดับความสูง 1,768 เมตรก็ทำให้ผมฉงนไม่น้อย เพราะมองออกไปรอบๆก็เห็นมีภูเขาลูกอื่นที่อยู่ใกล้ๆเคียงกันมียอดที่ความสูงมากกว่า ประกอบกับ GPS ผมบอกเอาไว้ว่าสูงราวๆ 1653 เมตร ซึ่งมีค่า error ได้ไม่เกิน 10 เมตรอยู่แล้ว จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวเลขจะต่างกันถึงมากกว่า 100 เมตร...โฮโฮ
ค่าที่อ่านได้จาก GPS ยี่ห้อ GARMIN iQue 3600 ในวันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่
ลานกางเต๊นท์คราคร่ำไปด้วยเต๊นท์หลากสีและผู้คนมากมาย
ส่วนนี่เป็นเต๊นท์พวกเรา มีด้วยกัน 2 เต๊นท์ ขนาด 2 คนกับ 3 คน เรามาถึงก็แทบจะไม่มีที่ว่างให้กางเต๊นท์แล้ว ยังดีที่เดินขึ้นมาเรื่อยๆ จึงเจอกับเนื้อที่พอที่จะกางได้ 2 เต๊นท์
หลังจากกางเต๊นท์กันเสร็จ ผมเดินสำรวจจุดชมวิวแห่งนี้รอบๆ ไม่น่าเชื่อว่ามีต้นบัวตองมาขึ้นอยู่ต้นหรือสองต้นด้านบนซึ่งอยู่เลยรั้วไม้ออกไป ผม
ดอกบัวตองชูช่อ ณ ภูทับเบิก
ผมนึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าจะโชคดีได้มาเจอกับดอกบัวตองที่อื่นที่ไม่ใช่ดอยแม่อูคอ แม่ฮ่องสอน คิดถึงอยู่ไม่หายหลังจากไม่ได้ไปเยือนทุ่งบัวตอง ที่ดอยแม่อูคอ 2 ปีด้วยกัน
อากาศที่นี่ ณ ระดับความสูง 1600 กว่าเมตรไม่หนาวอย่างใจปรารถนาเท่าที่ควร ก็จะมีก็แต่ลมเย็นๆพักผ่านมาเป็นระลอกเท่านั้น
จุดกางเต๊นท์อีกจุดหนึ่งที่อยู่ถัดขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่ง ทำเลอยู่ใกล้ๆกับแปลงกระหล่ำสุดแล้ว
ส่วนจุดกางเต๊นท์ของพวกเรานั้น อยู่เกือบจะถึงรั้วไม้ที่เขาทำไว้กันนักท่องเที่ยวตกหน้าผา
ต้นไม้ใหญ่บนความสูง 1600 กว่าเมตร
เราเดินลงมาข้างล่างตรงที่จอดรถไว้อีกครั้งเพื่อมาเอาสัมภาระขึ้นไปยังเต๊นท์ เจอร้านชาวม้งขายผักหลายชนิด แต่ที่น่าจะเป็นสัญลักษณ์ของชาวเขาอย่างเช่นเพลงเด็กที่นำมาร้อง ก็คงหนีไม่พ้นผักที่มีชื่อว่า "แครอท" กับ "มะระหวาน"
กลับขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง แสงอาทิตย์เริ่มที่จะน้อยลงแล้ว เวลาก็ห้าโมงกว่าๆ
ณ เวลานี้ โรงเรียนที่ผ่านมา 3 โรงเรียนล้วนยังมีสภาพที่ดีอยู่ พวกเราจึงเหลือแค่อีก 1 โรงเรียนในหมู่บ้านทับเบิกซึ่งอยู่ไกลออกไปตามเส้นทางที่เห็นในรูป ถ้ายังสภาพดีอยู่ เราคงหาแถบอื่นๆที่เขาแร้นแค้นกว่า
นี่แหล่ะครับ สภาพเส้นทางที่เราขับผ่านขึ้นมาทางด้านหล่มเก่า คดโค้งพันไปพันมาอย่างกับงูเลื้อยไม่มีผิด
ณ จุดชมวิว ผู้คนจะสลับกันเดินเข้าเดินออกมาดูวิวถนนด้านล่างครับ
มาที่ภูทับเบิก ถ้าไม่ได้ดูดาวบนดินหรือไม่รู้จักว่าดาวบนดินคืออะไรแล้วหล่ะก็ คงเรียกได้ว่ามาไม่ถึงก็เป็นได้ ดาวบนดินนั้น ก็คือ การดูแสงไฟจากบ้านเรือนที่อยู่ด้านล่างตัวเมืองนั่นเอง
หลังจากได้ดูดาวบนดินไปแล้ว ค่ำนี้ก็ดูจะเป็นกันเองระหว่างกัน โดยมีเครื่องดื่มกับอาหารที่ซื้อมา ณ ที่ทำการด้วยราคาไม่แพงเกินไปเป็นตัวเชื่อมสายสัมพันธ์
หลังจากนั้นพอได้เวลาสัก ผมก็ได้ขอตัวเข้านอนก่อน เนื่องจากเพลียๆ ปล่อยให้คนที่เหลือคุยโม้กันต่อไป
รุ่งเช้าของวันใหม่
ผมรู้สึกตัวประมาณตีห้ากว่า เนื่องจากมีเสียงคนเดินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ต้องลุกออกจากเต๊นท์มาแปรงฟันและเริ่มบทสนทนากันต่อ เช้าตรู่อย่างนี้จะมีอะไรดีไปกว่ากาแฟร้อนๆสักแก้ว กับการชมวิวสายหมอกที่กระทบร่างกายเสริมกับน้ำค้างมาปะทะเป็นระยะๆ ผู้คนต่างตื่นขึ้นมาถ่ายรูปกับป้ายภูทับเบิกกันอย่างไม่ขาดสาย บรยากาศช่วงนี้จึงครึกครึ้นมากยิ่งขึ้น
พวกเราโดยเฉพาะผม ประทับใจนักท่องเที่ยวสาวกลุ่มนี้มาก เขามากันประมาณ 6-7 คน เป็นผู้หญิงล้วนแบ่งงานกันทำตลอดไม่ว่าจะเป็นการกางเต๊นท์ จัดแจงอาหาร ถ่ายรูป แข็งขันจริงๆ ในรูป สาวเจ้ากำลังช่วยกันเก็บเต๊นท์
เราเดินดูแปลงผักกระหล่ำปลีที่ปลูกอยู่ใกล้ๆจุดกางเต๊นท์ ดอกนี้ยังไม่ใหญ่มากนัก เพราะเคยเห็นดอกที่ใหญ่กว่านี้มาก่อน
เดินลงมาด้านล่างเพื่อหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือไป อย่างที่บอกสินค้าจะเป็นผักที่ปลูกบริเวณนี้ หรือไม่ก็มีหมวกไหมพรมขายเป็นที่ระลึก
ต่อจากนั้น พวกเราออกเดินทางต่อไปยังหมู่บ้านทับเบิกที่อยู่ลึกเข้าไปข้างใน
ณ ช่วงนี้ รถทุกคันต้องเปิดไฟหน้าหมด เนื่องจากหมอกลงจัดมากแม้ว่าแปดโมงเช้าแล้วก็ตาม แต่ก็ขับตามๆกันไปได้ ที่หมู้บ้านม้งนั้น ระดับความสูงจะอยู่ต่ำลงไป ทำให้เมื่อขับรถเข้าไปเรื่อยๆ หมอกที่หนาๆก็จะค่อยๆเริ่มจางลงไปทุกทีๆ จนหลายสนิทเมื่อถึงยังหมู่บ้าน
ดูจากลานกางเต๊นท์อีกจุดหนึ่งที่หมู่บ้านนี้ ซึ่งเขาจัดลานไว้ให้กางเต๊นท์เหมือนกัน จะมองเห็นโรงเรียนบ้านทับเบิกร่วมใจที่อยู่ลึกออกไป
โรงเรียนนี้ ได้ข้อสรุปว่า ยังอยู่ในสภาพที่โอเค ไม่ยากจนเกินไป ทำให้เราต้องหาโรงเรียนกันใหม่ที่สภาพแย่กว่านี้มากๆ
ขับกลับลงมา เราแวะเข้าลานที่เขาจัดงานอะไรสักอย่าง มีเด็กชาวม้งยืนเข้าแถวสองแถว คอยโยนลูกสีดำๆ เป็นคู่ๆ จากการสอบถามได้ความว่า เขาเรียกว่าโยนช่วง เป็นการละเล่นชนิดหนึ่ง(หรือเปล่า)...แหะๆ
พวกเราออกจากภูทับเบิก กลับทางเส้นนครไทยโดยผ่านภูหินร่องกล้า ตอนแรกกะจะไปดูจุดท่องเที่ยวในภูหินฯซะกะหน่อย แต่คนเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น อำนาจรัฐ ลานหินแตก เราจึงเลือกดูเฉพาะ โรงเรียนการเมือง และแวะทานข้าวที่ร้านอาหารในภูหินฯ
ช่วงนี้น่าเสียดายไม่มีรูปมาโชว์ เนื่องจากแบตฯหมด แต่ผมเองนั้นเคยมาแล้วเลยไม่ค่อยเสียดายเท่าไหร่ เราขับผ่านออกนครไทยไปอช.ทุ่งแสลงหลวงและไปเขาค้อท้ายสุด
ที่หน้าที่ทำการอช.ทุ่งแสลงหลวง มีกิ่งไม้นำมาเรียงเป็นรูปช้าง ช่างคิดจริงๆ
เข้าไปข้างในจะมีจุดกางเต๊นท์ที่อยู่ติดกับลำน้ำเข็ก น่าพักเหมือนกัน แต่เรามาเพื่อที่จะดูทุ่งหญ้าแบบสวันนา ว่าเป็นอย่างไร สอบถามเจ้าหน้าที่ ได้ทราบว่าต้องขับไปอีก 60 กม.ผ่านเขาค้อไป ที่นั่นจะมีทุ่งนางพญาซึ่งเป็นป่าสนและทุ่งหญ้าแบบสวันนา
ในที่สุดก็มาถึง ก่อนจะขับรถเข้าไป เราต้องติดต่อที่ทำการเพื่อนำบัตรประชาชนไปแลกกับใบเหลืองก่อน น่าจะเป็นการตรวจสอบคนเข้าคนออกเพื่อไปยังทุ่งนางพญาแบบกันไว้ก่อน เพราะทางที่จะเข้าไปนั้นอยู่ลึกถึง 14 กม.และเส้นทางก็เป็นดินแดง ไม่เหมาะกับรถเก๋ง ผมจอดรถเก๋งส่วนตัวไว้ที่ลานจอดรถที่ทำการ แล้วนั่งรถอีกคันไปกัน
ทางบอกเลยว่าแย่มากครับ ถ้าเจอรถจะสวนมา คันใดคันหนึ่งต้องจอดชิดซ้ายไว้ แล้วอีกคันค่อยๆขับไป เสี่ยงต่อการโดยรอยขีดข่วนจากต้นหญ้าข้างทางครับ
Corolado คันนี้แหล่ะที่พาเรามาถึงลานกางเต๊นท์ ท่ามกลางต้นสน
แต่ก็มีหลายคันเหมือนกันที่นำรถเก๋งเข้ามา แต่ผมสงสารรถแทนครับ ช่วงล่างจะไปก่อนเลย ที่นี่เปลี่ยวครับ ไม่มีห้องน้ำห้องท่า เพราะเลยออกมาไกลถึง 14 กม. ผมเองไม่แนะนำครับ ถ้ามากันไม่กี่คน แต่ถ้าใจกล้ามากันเยอะๆก็น่าจะสนุกครับ ดูแล้วค่อนข้างที่จะไม่ปลอดภัยครับ
นี่เหรอ...ทุ่งหญ้าแบบสวันนา
จบจากทุ่งแสลงหลวงก็ห้าโมงเย็นแล้ว พวกเราบึ่งต่อไปยังเขาค้อ ไปถึงก็ค่ำแล้ว ได้เดินดูอาวุธ ซากเครื่องบิน ซากรถถัง โดยมีไกด์เยาวชนมาคอยให้ความรู้แก่เรา ขอบคุณน้องๆมากนะจ๊ะ
หลังจากนั้น ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกับกลับบ้าน โดยมีผมคนเดียวที่ขับตรงดิ่งมาที่กทม. ส่วนที่เหลือ 4 คนนั้นบ้านอยู่สระบุรี ผมเองถึงบ้านโดยปลอดภัยตอน 23.30 น. เป็นอันว่าจบทริปนี้โดยสวัสดิภาพ
Original Published on www.pantip.com on [ วันพ่อแห่งชาติ 21:53:23 ] as below link
http://topicstock.pantip.com/blueplanet/topicstock/E3930378/E3930378.html
เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น