วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 6 เที่ยวเกียวโต เดินทางไปวัดทอง "คินคะคุจิ" Kinkakuji ก่อนเปลี่ยนแผนไปวัดเงิน "กินคะคุจิ" (Ginkakuji)


มาถึงวันที่ 6 ของทริปญี่ปุ่นกันแล้ว วันนี้เราจะออกแต่เช้ามืดเพื่อไปเที่ยวเมืองเกียวโต อดีตเมืองหลวงเก่าของประเทศญี่ปุ่น ที่ออกแต่เช้ามืดเพราะเราต้องการเก็บวัดที่สำคัญๆของเกียวโตให้มากที่สุดเท่าจะทำได้ เพราะได้ข่าวมาว่า เกียวโตเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ารถติดเอามากๆเมืองหนึ่งของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ซึ่งการที่มีบัตร JR Pass นั้น ไม่ค่อยจะมีประโยชน์เท่าไหร่ในเกียวโต เพราะรถไฟ JR ไม่แล่นผ่านจุดสำคัญๆของเกียวโตเหมือนกับเมืองอื่นๆของญี่ปุ่นครับ จะมีก็แต่รถไฟใต้ดินซึ่งเราก็ไม่ได้ใช้บริการครับ ฉะนั้น วันนี้ 1 วันเต็มๆจะเก็บสถานที่สำคัญๆของเมืองเกียวโตให้มากที่สุด โดยเราจะมีวิธีการเดินทางในเกียวโตในแบบที่เร็วกว่านั่งรถบัสอย่างเดียวแน่นอน นั่นคือ เราจะนั่งรถไฟท้องถิ่น  JR ไปด้วยในเส้นทางที่สามารถไปได้ครับ แล้วหลังจากนั้นเราก็จะนั่งรถบัสต่อ โดยแพลนเดิมของวันนี้เป็นดังนี้

DAY6 (20 พฤศจิกายน 2557): Osaka(Kishibe Station Hotel) - Kyoto(วัดทอง Kinkakuji - วัดเงิน Ginkakuji - วัดน้ำใส Kiyomizudera - วัดทอง Kinkakuji - วัดโทฟุกุจิ Tofukuji - ศาลเจ้าฟูจิมิ อินาริ Fushimi Inari Taisha) - Osaka(Kishibe Station Hotel)

เป็นที่น่าเสียดาย เราไปวัดโทฟุกุจิ Tofukuji ไม่ทันครับ เพราะมืดซะก่อน แต่ก็เก็บมาได้มากที่สุดแล้วนะครับสำหรับ 1 วันเต็มๆ


เนื่องจากวันนี้เราจะใช้เวลา 1 วันเต็มกับการเที่ยววัดและศาลเจ้าสำคัญๆ ในเกียวโต จึงขอนำแผนที่แสดงวัดและศาลเจ้าที่สำคัญต่างๆในเมืองเกียวโตมาให้ดูเพื่อเป็นแนวทางในการจัดแผนเที่ยวนะครับ เครดิต : http://www.pref.kyoto.jp/visitkyoto/en/ 
ซึ่งถ้าเริ่มจากสถานีรถไฟ JR เกียวโต เราจะแบ่งสถานที่เที่ยวได้เป็น 2 ฝั่งคือ ฝั่งตะวันออก(ขวามือ) และฝั่งตะวันตก(ซ้ายมือ) ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะจัดแผนเที่ยวแบบไปฝั่งใดฝั่งหนึ่งไปเลย 1 วัน แล้วมาเก็บอีกฝั่งที่เหลือในอีก 1 วันต่อไป แต่สำหรับเราคือรวมทั้งฝั่งตะวันตกคือ วัดทอง Kinkakuji และฝั่งตะวันออกคือ วัดเงิน Ginkakuji - วัดน้ำใส Kiyomizudera - ศาลเจ้าฟูจิมิ อินาริ Fushimi Inari Taisha ซึ่งเป็นแผนแบบรวบรัดนะครับ ใครจะเอาอย่างก็ไม่จดลิขสิทธิ์แต่อย่างใดครับ อิอิ


จากโรงแรมสถานีคิชิเบะ เดินออกมาก็ถึงสถานีรถไฟ Kishibe แล้วครับ นี่คือข้อดีของโรงแรมนี้ครับ แล้วข้อดีอีกข้อก็คือ จากสถานีนี้สามารถที่จะขึ้นรถไฟท้องถิ่น สาย JR Kyoto Line Local ไปเกียวโตได้เลย โดยไม่ต้องนั่งย้อนไปที่สถานีชินโอซาก้าอีก
เราออกจากโรงแรมยังไม่ถึง 6 โมงเช้าเลยครับมืดอยู่เลย เพราะสายที่เราจะไปนั้นจะออกเวลา 6.12 น. นั่นไง....รถไฟที่เราจะขึ้นแล่นมาแล้ว


ขึ้นรถไฟได้แล้ว หลายคนก็หลับเอาแรงกันก่อน อิอิ


ระหว่างทาง แสงจากท้องฟ้านอกหน้าต่างรถไฟบ่งบอกว่าพระอาทิตย์กำลังขึ้นแล้ว ถือว่าเริ่มต้นวันใหม่กันอีกครั้งในญี่ปุ่น


รถไฟ JR ท้องถิ่นใช้เวลา 34 นาทีก็มาถึงสถานีเกียวโต ออกมาจากสถานีก็ให้มองหาเสาสูงๆแบบนี้(Kyoto Tower Hotel) ซึ่งจะอยู่ทางออกทางทิศเหนือของสถานี


ทางด้านขวามือจะมีเพิงอาคาร 1 ชั้น คือ Bus Ticket Center ถ้าใครจะเลือกเดินทางโดยรถบัสในเกียวโตก็ให้ไปซื้อพาสที่นี่เลยครับ คุ้มแน่ๆ ชื่อพาสเต็มๆคือ Kyoto City Bus One Day Pass ราคาผู้ใหญ่ 500 เยน (ตัวบัตรเป็นพลาสติกมีแถบแม่เหล็ก ดูตัวอย่างได้ที่ตอน 0)


ต่อแถวเลยครับ 4 คนครับพี่ อิอิ


ซื้อพาสมาแล้วจะมีใบแถมเป็นแผนผังการเดินรถบัสของเกียวโต(Kyoto City Bus) โดยจะนั่งสายอะไรก็ให้ดูตามแผนผังนี้ครับ จะบอกไว้เบ็ดเสร็จ ไฟล์ขนาดเต็มให้คลิกตรงนี้เพื่อดาวน์โหลดครับ


แต่ถ้าดูแผนผังด้านบนแล้วงงๆ เหมือนผม ก็สามารถดูแบบ Handy พกพาสะดวกได้ตามสถานที่สำคัญตามแนบ คล้ายๆรถเมล์ในบ้านเรา หรือรถไฟนะครับ โดยจะบอกว่าจากต้นทางไปปลายทางสามารถขึ้นรถบัสสายอะไรได้บ้างครับ คลิกที่รูปเพื่อดูขนาดขยาย


ซื้อเสร็จก็เดินกลับมาที่สถานีเกียวโตเหมือนเดิม เพราะเราจะนั่งรถไฟไปลงสถานีที่ใกล้ที่สุด ไม่ได้นั่งรถบัสเลยจากที่นี่เพราะจะได้ประหยัดเวลา ไม่งั้นรถติดนานแน่ๆ ซึ่งมีคนพิสูจน์มาแล้วว่าเร็วกว่าครับ แถมใครมี JR Pass อยู่แล้วก็ไม่เสียเงินเพิ่มแน่นอนเพราะเป็นรถไฟ JR


กลับเข้าไปในสถานีเกียวโตเหมือนเดิม โดยให้เดินหาป้ายรถไฟสาย Sagano ซึ่งป้ายชี้ไปที่ชานชาลา 31-32-33 ตรงไปตามลูกศรเลยครับ


ชานชาลา 32 ขบวนที่จอดนี้เลยครับ รถไฟออกเวลา 7.09 น.


ระหว่างทางมีใบไม้สีแดงให้พบเห็นด้วยครับ


รถไฟใช้เวลา 8 นาทีก็มาถึงที่สถานี Emmachi ซึ่งเป็นสถานีที่ 3 นับจากสถานีเกียวโตครับ ประหยัดเวลานั่งรถบัสซึ่งติดแน่ๆไปได้เยอะเลย (ดูแผนที่สถานีเกียวโตกับสถานี Emmachi ใน google map ประกอบด้วยนะครับ)


เดินไปตามถนนแล้วรอข้ามไปอีกฝั่งหนึ่งทางทิศเหนือที่ทางม้าลายตรงนี้ครับ


รถบัสมาแล้วครับ ถ้าจะไปวัดทอง Kinkakuji ก็รอสาย 205 นี้เลยครับ


วิธีขึ้นรถบัสในเกียวโต ขึ้นตรงประตูกลาง และลงประตูหน้า สอดบัตร 1 Day Pass หรือไม่ก็ยื่นให้คนขับดูนะครับ พอขึ้นไปยังรถบัสของเกียวโตแล้ว ก็รับรู้เลยว่ารถแน่นอย่างกับปลากระป๋องนั้นเป็นอย่างไร หลายคนที่บอกมาเรื่องรถแน่นและรถติดในเกียวโตนั้น ข้อมูลเป็นจริง 100% ครับ confirm


ถ้ากังวลว่าถึงป้ายไหนแล้ว ก็ให้ดูที่จอตรงด้านหน้าเยื้องๆคนขับนะครับ จะมีบอกไว้ บอกป้ายปัจจุบันและอีก 3 ป้ายที่จะถึงครับ ทั้งภาษาญี่ปุ่นและอังกฤษ ไม่หลงแน่ๆครับ ตอนแรกผมก็กังวลเช่นกัน


จอบอกป้าย Kinkakuji-michi คือป้ายข้างหน้าแล้วครับ(ซอยด้านซ้ายมือคือซอยที่เดินเข้าไปยังวัด) เตรียมตัวลงกัน เพื่อไปวัดทองครับ


ทางเดินสั้นๆ 300 เมตร ก่อนถึงทางเข้าวัดทองจริงๆ ใบไม้แดงต้อนรับเราตั้งแต่ยังไม่ถึงทางเข้าวัดเลยครับ


พอเดินเข้าไปถึงทางเดินเข้าวัดทองจริงๆ ใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมากๆครับ เห็นแล้วคุ้มเลยที่มาถึง


เดินเข้าไปอีกหน่อย ตรงนี้สีแดงเต็มๆของใบเมเปิ้ล


ซอยเล็กๆทางด้านขวามือ ใบไม้ก็แดงพรึ่บเต็มไปหมด


ตรงนี้สีแดงบาดตามากๆครับ


ทั้งบนต้นไม้และที่หล่นลงพื้นหญ้า


ต้องถ่ายเก็บไว้สักหน่อย

มาถึงประตูเข้าวัดจริงๆแล้ว แต่ยังปิดอยู่เลยครับ งั้นดูแผนที่ภายในวัดทองไปก่อนละกัน


เห็นประตูปิดอยู่ไม่เปิดซะที เลยเดินไปถามคนกวาดพื้นบริเวณนั้น ว่าเปิดกี่โมง แกบอกมาเป็นภาษามือว่า 9 โมง เอ้า..... นี่ยังไม่ 8 โมงเช้าดีเลย สงสัยพลาดซะแล้วเรา อุตส่าห์ตื่นมาเช้ามืดเพื่อมาเร็วๆ กลายเป้นว่าเสียเวลาฟรีๆอีก เฮ้อ...


เราเลยตกลงกันว่า คงไม่รอแล้ว เพื่อไม่ให้เสียเวลา เลยเดินกลับทางเดิม เพื่อข้ามฝั่งถนนไปรอรถบัสเพื่อขึ้นไปวัดเงินกันก่อน เดี๋ยวเสร็จจากแถบนั้นค่อยกลับมาวัดทองอีกครั้ง ฮือๆ เสียดายจัง มาเช้ากว่าปกติแต่ประตูดันยังไม่เปิด เสียแผนหมดเลย (คลิกเพื่อชมวัดทองในตอน 6.5 ตอนกลับมาอีกครั้งช่วงบ่าย)


สายที่สามารถไปวัดเงิน Ginkakuji ได้จากป้ายตรงข้ามวัดทองคือสาย 204 มาถึงแล้วก็ขึ้นรถกันเลยครับ ครั้งนี้ว่างๆหน่อย โชคดีไป


ผ่านคูน้ำ มีใบไม้แดงแว๊บๆ


ประมาณ 30 นาทีเราก็มาถึงทางเดินเข้าไปยังวัดเงิน Ginkakuji มีป้ายบอกไปวัดเงิน Ginkakuji และ Tetsugaku no michi ซึ่งหมายถึงเส้นทางนักปราชญ์ครับ ซึ่งลงรถต้องเดินข้ามฝั่งถนนมานะครับ


เช้านี้ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เดินมาถึงร้านนี้ก็เลยหาอะไรรองท้องกันก่อนครับ


จ๊ะเอ๋สั่งชุดนี้ เป็นอาหารแบบจานเดียวพร้อมเครื่องดื่มครับ


ส่วนผมสั่งพิซซ่าจานนี้พร้อมชาร้อนๆครับ


ทานเสร็จก็เดินทางกันต่อ ทางเดินนี้ไกลมากๆครับ แต่เดินๆไปดูวิวระหว่างทางไปก็เพลินดี ไม่ทราบว่าต้นไม้ด้านหน้าคือต้นอะไร ใบไม้สีแดงสวยงามดีครับ หรือจะเป็นต้นซากุระ??


เจอเด็กๆนักเรียนอนุบาลชาวญี่ปุ่น มาทัศนะศึกษากันครับ ใส่หมวกสีเหลืองน่ารักมากๆ


และก็อีกหนึ่งกลุ่มเป็นเด็กโตหน่อย มีคุณครูถือธงยิ้มอยู่ครับ


ระหว่างทางเจอเครื่องโม่ข้าว แต่เอามาทำเป็นทางน้ำไหล น่ารักไปอีกแบบ มีพระสลักอยู่ด้านบนด้วย


ตรงนี้เป็นร้านขายของ หัวไชเท้าหรือปล่าวหว่า?? ราคาถุงละ 350 เยน มีแถมพริกถุงละ 1 เม็ดด้วยนะเนี่ย


ถึงทางเดินเข้าวัดเงินแล้วครับ ข้างในเป็นอย่างไรบ้างดูได้ตามแผนที่นี้ครับ


พร้อมแล้วก็เดินเข้ามากันเลย วัดเงินนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วยครับ


ทางเดินตรงช่วงนี้นี้จะทำด้วยหินและต้นไผ่ กับต้นอะไรอีกไม่แน่ใจครับ ดูสูงๆ แปลกๆดีเหมือนกันครับ แต่น่าจะมีความหมายสักอย่างซึ่งเราไม่มีข้อมูลครับ


ซื้อตั๋วเข้าชมก่อนครับ คนละ 500 เยน



มีการกั้นทางเดินเข้าและทางเดินออกอย่างชัดเจนครับ เข้าทางซ้ายมือ ใช้กล้องได้แต่ห้ามใช้ขาตั้งกล้องนะครับ จักรยานกับอาหารและเครื่องดื่มก็ห้ามนำเข้าไปเช่นกัน


เส้นทางมีชัดเจน ไม่สะเปะสะปะ เดินทางลูกศรสีแดงเลยครับ


มีกรวยหินทรายที่ก่อขึ้นมา เรียกว่า “Moon Viewing Platform”


อาคาร Silver Pavilion (Kannonden)  เป็นอาคาร 2 ชั้น และมีนกฟินิกซ์อยู่บนหลังคาอาคาร ถูกสร้างขึ้นโดยโชกุน Ashikaga Yoshimasa หลานชายของท่านโชกุน ที่สร้างวัด Kinkakuji หรือ golden Pavilion (วัดทอง) เครดิต : th.japantravel.com


ด้านนี้คือลานสวนหินทราย หรือที่เรียกว่า “Sea of Silver Sand” จุดประสงค์ของการสร้างลานสวนหินทราย คือ เพื่อให้แสงของดวงจันทร์กระทบกับลานหินทรายในยามค่ำคืน และเมื่อแสงของดวงจันทร์กระทบกับลานหินทรายแสงที่ตกกระทบก็จะสว่างไปทั่วบริเวณหน้าอาคาร Silver Pavilion เครดิต : th.japantravel.com


เห็นใครๆก็เข้ามาถ่ายด้านในนี้ โดยมองผ่านหน้าต่างบานนี้ไปครับ


อีกมุมหนึ่ง ชมวิวด้านนอกได้เป็นอย่างดีเลย


โชกุน Ashikaga Yoshimasa ตั้งใจใช้แผ่นเงินแท้ปิดหุ้มผนังนอกอาคาร(โลหะ) เงิน (Ginkaku) เพื่อให้คู่กับวัดทอง Kinkakuji ที่สร้างโดยโชกุน โยชิมิทสึ อาชิคางะ ผู้เป็นปู่ แต่น่าเสียดาย มาเสียชีวิตซะก่อน เลยไม่ได้มีดลหะเงินปิดตามที่ได้ตั้งใจไว้


เราเดินชมสวนหินแบบนิกายเซ็นไปตามทางเดิน คุ้มมากๆที่ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี


ตรงนี้เป็นสระน้ำใหญ่ทีเดียวครับ


เดินเข้ามาร่มรื่นมากๆ


ทางเดินชัดเจน คนยังไม่เยอะเพราะยังเช้าอยู่ สามารถเลือกวิวได้หลากหลายครับ


มุมนี้ก็สวย หันหน้าสู่อาคาร Silver Pavilion พร้อมใบไม้หลากหลายสี


เดินไปตามเส้นทางนี้ครับ สีใบไม้สวยจริงๆ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกหน่อย คงแดงพรึ่บเต็มไปกว่านี้อีก


ซูมใบเมเปิ้ลกำลังเปลี่ยนสีสู่สีแดง ไล่โทนกันไป


แถบนี้ยังเป็นสีเหลืองอยู่ จากเดิมที่เป็นสีเขียว


ถ้ามาอยู่ท่ามกลางป่าบริเวณนี้จริงจะรู้สึกสดชื่นเหมือนเราครับ


ผมเองยังไม่ได้ไปไหน แต่เก็บรูปบริเวณนี้อยู่ สวยจริงๆครับ เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องชักภาพอีกแล้ว


ในน้ำมีการโยนเหรียญด้วยครับ มุมนี้จะมีช่างภาพมาเก็บภาพกันมากสุด


ได้เวลาเดินต่อแล้วครับ ใบไม้ยังเปลี่ยนสีสวยงามตลอด


ถ่ายย้อนกลับมา รู้สึกมีความสุข


ยังคงเดินเก็บภาพอย่างช้าๆครับ มาทั้งทีเอาให้คุ้ม


ทางเดินข้ามลำธารเล็กน้อย โดยมีใบไม้แดงปกคลุมอยู่ด้านบน


ช่วงนี้เป็นทางเดินขึ้นเนินเล็กน้อย คนเลยมาออกันครับ


ค่อยๆเดินขึ้นบันไดไปครับ


แล้วก็มาถึงจุดบนสุดของทางเดิน มุมนี้มองไปยังอาคาร Silver Pavilion สวยงามมากครับ


หลากหลายมุม ผมเก็บภาพแบบรัวๆเลย


ซูมเข้าไปใกล้ๆหน่อยซิ


มาถึงอีกจุดหนึ่งที่มีใบไม้แดงปกคลุมทางเดิน


อีกมุมหนึ่งของอาคาร Silver Pavillion


อาคาร Silver Pavillion แบบใกล้ๆ


ใบเมเปิ้ลหลากสีตกหล่นบนทางระบายน้ำ


เมเปิ้ลแดงและเขียวตัดกัน


ถ่ายใบไม้แดงจนหนำใจไปเลยครับ


เดินวนกลับมาด้านล่างแล้วครับ ตรงนี้ก็มีต้นเมเปิ้ลขึ้นอยู่ข้างอาคาร Silver Pavillion


ก่อนออกจากวัดเงิน ใครจะซื้อของฝากก็มาที่นี่ได้ครับ ละลายเงินได้ดีทีเดียว


ตรงทางเดินออกเรามาเจอร้านนี้ครับ ร้านโมจิชาเขียว อยากทานเลยต้องซื้อมาลอง


ได้มาแล้ว 1 กล่อง อร่อยใช้ได้ครับ เหนียวๆ หนึบๆ


แล้วก็ออกมาตรงปากทางเข้าที่ต่อถนนใหญ่จนได้ ขณะกำลังรอข้ามถนน ก็ได้เจอกับน้องหมา 3 ตัวกำลังรอข้ามถนนเหมือนกันครับ น่ารักดี แล้วต่อไปเราจะรอรถบัสเพื่อไปลงที่ทางเข้าวัดน้ำใสกัน โปรดติดตามในตอนต่อไปครับ

[ตอน 0] [ตอน 1] [ตอน 1.5] [ตอน 2] [ตอน 2.25] [ตอน 2.5] [ตอน 2.75] [ตอน 3] [ตอน 3.3] [ตอน 3.6] [ตอน 4] [ตอน 4.3] [ตอน 4.6] [ตอน 5] [ตอน 5.25] [ตอน 5.5] [ตอน 5.75] [ตอน 6] [ตอน 6.25] [ตอน 6.5] [ตอน 6.75] [ตอน 7] [ตอน 7.5] [ตอน 8] [ตอน 8.5] [ตอน 9]

เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

2 ความคิดเห็น: