วันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 1 บินไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก ณ เมืองฟุกุโอกะ เกาะคิวชู, ทานราเมง เดินทางไปศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ชิมโมจิไส้ถั่วแดง ตบท้ายด้วยกาแฟสตาร์บัคส์ดีไซน์เก๋ๆ


และแล้วก็ได้เวลาเหินฟ้าบินไปเที่ยวญี่ปุ่น ดินแดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรกแล้วครับ ก่อนหน้านี้ก็อยากไปเหมือนกับคนอื่นๆครับ แต่ด้วยต้องขอวีซ่า และเป็นประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ทำให้การแพลนเที่ยวค่อนข้างยาก เลยยังเป็นประเทศที่อยู่ใน waiting list ไปก่อน แต่แล้วเมื่อมีการยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศให้กับคนไทยเมื่อปีที่แล้ว แพลนนั้นก็ได้นำมาปัดฝุ่นกันอีกครั้ง ประกอบกับมีโปรตั๋วเครื่องบินเจ๊ทสตาร์บินไปฟุกุโอกะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เลยไม่ต้องคิดมากกดจองไปตอนแรก 2 ที่นั่ง แล้วในวันรุ่งขึ้นอีก 2 ที่นั่ง รวมเป็น 4 ชีวิตด้วยกัน การเดินทางทริปนี้จึงเริ่มขึ้น

แพลนการเที่ยวทั้งหมด 9 วัน 8 คืน (เที่ยวจริงๆ 8 วันเต็ม) สามารถดูได้จากตอน 0 เตรียมตัวก่อนเดินทางไปดินแดน "อาทิตย์อุทัย" ครับ โดยแพลนการเดินทางวันแรกวันนี้จะเป็นดังนี้

DAY1 (15 พฤศจิกายน 2557):  BKK - FUK - Dazaifu - Komyozenji - Hakata - Hotel (Kurume)

ปล. ทริปญี่ปุ่น ภาค 4 ภาคล่าสุด (ญี่ปุ่น เมื่อยามซากุระผลิบาน)
ญี่ปุ่น เมื่อยามซากุระผลิบาน ตอน 1 เริ่มต้นเดินทางไปตามหาซากุระครั้งแรกที่โตเกียว

ปล. ทริปญี่ปุ่น ภาค 3 (15 วัน อินเจแปน)
15 วัน อินเจแปน ตอน 1 เริ่มต้นเดินทางสู่ดินแดนปลาดิบ ปรับสภาพร่างกาย ณ กรุงโตเกียว ก่อนจะไปผจญหิมะที่ฮอกไกโด

ปล. ทริปญี่ปุ่น ภาค 2 (ตะลุยเดี่ยว เที่ยวโตเกียว)
ญี่ปุ่น ภาค 2 ตะลุยเดี่ยว เที่ยวโตเกียว ตอน 1 บินลัดฟ้าไปหาอากาศหนาว สู่มหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลก "โตเกียว"


วันนี้พวกเราต้องออกเดินทางไปเช็คอินที่สนามบินสุวรรณภูมิเวลาประมาณ 4 ทุ่ม ก่อนเวลาเดินทางจริง 3 ชั่วโมง ไฟล์ทออกตามตั๋วคือเวลา 02.15 น. ของวันเสาร์ที่ 15 พฤศจิกายน 2557 มาถึงสนามบินตอนแรกยังไม่เปิดช่องเช็คอินเลยสักช่อง เลยเดินไปหาที่นั่งพักขากันก่อน พอสักพักเดินมาดูอีกครั้ง คราวนี้มีคนมารอเช็คอินตรึมเลยครับ รู้สึกจะเปิด 3 ช่องด้วยกันครับ ก็ยืนเข้าแถวรอเช็คอินกันต่อไป สุดท้ายก็ได้บอร์ดดิ้งพาสมา เดินเข้าไปข้างในกันเลยครับ


ไฟล์ทนี้ 3K509 ทางออก C10 รอจนง่วงไปตามๆกันเลยครับ สุดท้ายก็ได้เวลาบอร์ดดิ้งสักที


เตรียมหนังสือเดินทาง บอร์ดดิ้งพาสให้เรียบร้อย ก่อนจะยื่นให้เจ้าหน้าที่ที่ประตูทางเข้า


เข้ามาที่ตัวห้องผู้โดยสารของสายการบินเจ๊ทสตาร์ เครื่องบินลำนี้เป็นแบบ Airbus A320 เบาะหนังสีดำคล้ายๆกับแอร์เอเชียยังไงยังงั้นเลยแฮะ


ที่นั่งมีความกว้างระหว่างเบาะ(แถว)ตามรูปนะครับ ก็ไม่ได้แคบอะไรมากนัก แต่ที่นั่งไม่สบายสุดคือเบาะหลังที่มันโค้งมาที่คอ ไม่เรียบตรง ทำให้นอนแล้วปวดคอ, ศีรษะมากๆครับ ไม่รู้จะทำให้เบาะมาโค้งรับศีรษะทำไม


พอเริ่มเทคออฟก็หลับกันหมดแล้วหล่ะครับ เพราะตี 2 กับ 40 นาทีถึงจะเทคออฟจริง พอผ่านไปหลายชั่วโมง ก็จะตื่นกันอีกทีประมาณ 6 โมงเช้าที่ญี่ปุ่น แสงเริ่มเข้ามาแล้ว เสียดายที่ไม่ได้นั่งริมหน้าต่างครับ ไม่งั้นถ่ายแสงยามเช้า ณ ทะเลญี่ปุ่นมาฝากกันแล้ว เริ่มเอาใบ immigration เข้าประเทศญี่ปุ่นมากรอก พร้อมกับ custom declaration เพื่อบอกว่าเราเอาสิ่งของต้องห้ามอะไรบ้างเข้าประเทศเขา


9 โมงตรง(เวลาท้องถิ่นญี่ปุ่น เร็วกว่าไทย 2 ชม.) เครื่องบินก็จอดที่หลุมจอด ณ สนามบินฟุกุโอกะเป็นที่เรียบร้อย เดินลงจากเครื่องบินเพื่อไปขึ้นรถบัสสนามบินเข้าเทอร์มินอลกันต่อไป


บนรถบัสสนามบิน ครั้งแรกทีสัมผัสกับอากาศของประเทศญี่ปุ่น รู้สึกหนาวเย็นครับ น่าจะ 10 องศากว่าๆ


เดินไปตามๆกัน เข้าอาคารแล้วจะอุ่นขึ้นจากฮีตเตอร์ของสนามบิน ขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 แล้วเดินตามทางไป


เจอกับป้ายยินดีต้อนรับสู่เมืองฟุกุโอกะ Welcome to Fukuoka ชักภาพซะหน่อย(ขอเซ็นเซอร์ผู้ที่ไม่ประสงค์ให้เห็นหน้าเพื่อความเป็นส่วนตัวครับ)

สุดปลายทางจะมีห้องน้ำอยู่ครับ เข้าห้องน้ำห้องท่ากันก่อน เพราะ 5 ชั่วโมงกว่าๆบนเครื่องบินไม่ได้เข้าเลย หรือจะแปรงฟันก็ได้ครับ


หลังจากนั้น พอเดินมาตรงจุดเคาน์เตอร์ตม. โอ้โห....คนเยอะมากๆ หลายชาติหลายภาษาเข้าแถวแบบงูกินหางกันเพียบเลย สงสัยงานนี้ใช้เวลานานแน่ๆ สังเกตดู คนส่วนใหญ่เป็นคนจีนกับคนเกาหลีครับ ที่คนเกาหลีเยอะน่าจะมาจากทั้ง 2 ประเทศมีพรมแดนติดกัน บินกันมาเที่ยวได้สะดวก ไม่ถึงชั่วโมงเลยมั้งครับ(ถ่ายจากโทรศัทพ์มือถือ ไม่กล้ายกกล้องปกติถ่ายเพราะโดนแน่ๆ ภาพเลยเบลอๆครับ)


พอออกจากตม.ญี่ปุ่นแล้ว ลงมาจะรับกระเป๋าที่สายพาน ก็เจอกระเป๋าที่วางไว้เป็นระเบียบดังภาพ เพราะใช้เวลากับตม.ขาเข้านานนั่นเอง กระเป๋าที่วิ่งบนสายพานเลยมีเจ้าหน้าที่ยกลงมาวางที่พื้นให้เรียบร้อยหมดเลย ดีจัง


ออกมาจากประตูขาเข้าก็เจอกับรูปปั้นหน้าตาดุ มีเขียนว่า Hakata Gion Yamakasa คงจะเป็นเทศกาลประจำปีของชาวฮากาตะที่มีผู้ชายหลายคนแบกรูปปั้นนี้ที่หนักถึง 1 ตันไปตามท้องถนน คงเป็นสัญลักษณ์และเทศกาลใหญ่ของเมืองนี้


ออกมาจากสนามบินแล้ว เราใช้วิธีดั้งเดิมคือนั่งรถ free shuttle bus จากหน้าเทอร์มินอลต่างประเทศไปเทอร์มินอลภายในประเทศ เพื่อไปซื้อบัตร Fukuoka tourist city pass(1 day) เพราะมีขายที่เทอร์มินอลภายในประเทศ โดยไม่ใช้วิธีนั่งรถบัสจากนี่ไปศาลเจ้าดาไซฟุเลย เพราะแบบนั้นจะเสียเงินครับ


รถบัสมาจอดที่เทอร์มินอลภายในประเทศ ลงจากรถบัสก็เดินไปซื้อพาสที่ว่ามาใช้เลยครับ เคาน์เตอร์หมายเลข 1 ช่องขวาสุดเลยครับ


แจ้งความประสงค์กับป้าไปว่าจะซื้อ Fukuoka tourist city pass(1 day) แกก็ถามมาว่าเอาแบบไหน ก็บอกไปว่า ไปศาลเจ้าดาไซฟุ Dazaifu ด้วย ราคา 1,340 เยน แต่ถ้าไม่ไปศาลเจ้าดาไซฟุ ก็แค่ 820 เยน แต่แนะนำแบบแรกดีกว่าครับ คุ้มกว่าเยอะ ยังไงก็ต้องไปศาลเจ้าภาคบังคับอยู่แล้ว (พาสนี้ใช้อะไรได้บ้างดูข้อมูลจากตอน 0 หัวข้อพาสต่างๆ ครับ)


ตามแบบฉบับ ได้พาสมาแล้วก็ใช้เหรียญขูดๆ ทั้งเดือน และปีที่ต้องการใช้งานครับ ในที่นี้ เดือน เราขูดเลข 11 วันที่ เราขูดเลข 15 ซึ่งก็คือใช้วันนี้นั่นเอง ปล.คนขายพาสให้เราสอนวิธีขูดให้ด้วยนะครับ แต่แค่เรามาขูดเองเท่านั้น


จากเคาน์เตอร์ขายพาส หันไปทางขวามือก็จะเจอกับทางลงไปรถไฟใต้ดิน subway นั่นแหล่ะ เราลงไปตามป้ายเลยครับ เพราะเราจะไปสถานีฮากาตะอยู่แล้วเพื่อไป validate JR Pass ครับ


ลงมาด้านล่างก็ถึงสถานีดังกล่าวแล้ว เราไม่ต้องซ์้อตั๋วรถไฟใต้ดิน เพราะพาสนี้ใช้งานได้ฟรี


นี่ไง...Fukuoka tourist city pass(1 day) ได้เวลาแผลงฤทธิ์แล้วววว แสดงให้เจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างหน้าเลยครับ ผ่านฉลุยยย....


ทางเข้าก็จะเหมือนกับรถไฟทั้ง BTS และมหานครในบ้านเรา


มายืนรอรถไฟตรงนี้ เนื่องจากเป็นต้นสายของ Kuko line จะขึ้นสายไหนก็ได้ที่แล่นมา


เข้ามาข้างในตัวรถไฟ ก็จะมีแผงไฟแสดงเส้นทางครับ ไม่ต้องกลัวหลง ดูเส้น Kuko line สีส้มที่มีไฟแสดงอยู่ โดยเราจะลงสถานีฮากาตะ อีก 2 สถานี จาก K13 --> K11


ถึงสถานีฮากาตะก็เดินขึ้นมาข้างบน เดินตามป้ายที่เขียนว่า Ticket สีเขียวมุมซ้ายล่างของป้าย


ถึงแล้วครับ ออฟฟิศของ JR เข้าไปข้างในเลย


เคาน์เตอร์ 1 และ 2 ด้านซ้ายมือครับ ที่เขียนว่า Rail Pass Counter เจ๊ญี่ปุ่นที่มัดผมนั่นแหล่ะ เอา JR Pass ที่เป็นแบบ Exchange Order ที่ซื้อมาจากไทยไปยื่น และอย่าลืมเอาเส้นทางต่างๆที่พิมพ์ไว้แล้ว ที่จะทำการจองที่นั่งรถไฟชินกันเซ็นไปด้วยนะครับ จะได้เสร็จในครั้งเดียวกัน


หลังจากยื่น JR Pass แบบ Exchange Order เพื่อทำการ Validate JR Pass เขาก็จะถามว่าเราจะเริ่มใช้งานวันไหน ก็ตอบไปครับ สำหรับเราเริ่มใช้งานวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 16 พย. - 22 พย. 57 ทั้งหมด 7 วันพอดี ก็จะได้ JR Pass แบบของจริงในรูป(หน้าปกตรงกลาง+ด้านที่พิมพ์ชื่อผู้ใช้ขวามือสุด) พร้อมกับตั๋วจองที่นั่งตามโปรแกรมที่เรากำหนดล่วงหน้า ในรูปด้านซ้ายมือ ทั้งหมด 40 กว่าใบครับ


ภารกิจหลักในเช้าวันนี้เสร็จแล้ว ออกมาจากออฟฟิศ JR ก็มองเล็งๆร้าน il FORNO del MIGNON ร้านเบเกอรี่อร่อยขั้นเทพไว้ก่อน เดี๋ยวมีเวลาค่อยมาจัดการ


เราเดินหา Coin Locker ตามป้ายที่บอก แต่หาทั้ง 2 ตำแหน่งก็ปรากฎว่าเต็มหมด เลยมาต่อแถวร้านนี้ อ้าว...ร้านแมวดำ บริการส่งพัสดุสิ่งของนั่นเอง ลุ้นๆว่าจะรับฝากกระเป๋าใบใหญ่มั้ย?? ก็ปรากฎว่ารับนะครับ โชคดีมากๆ อัตราเท่ากับฝากใน locker คือใบละ 500 เยน 3 ใบ 1,500 เยน แต่ต้องมารับเวลาประมาณ 1 ทุ่ม เพราะร้านเขาจะปิด


โล่งไปหนึ่งอย่าง ไม่มีกระเป๋าใหญ่ๆ พะรุงพะรังแล้ว เกือบเที่ยง ท้องร้องจ๊อกๆ เลยเดินไปหาอะไรทานกัน ก็เป็นร้านที่อยู่ชั้นล่างของสถานีฮากาตะนี่หล่ะครับ ไปเจอร้านนี้ ร้านราเมง ดูแล้วน่าทาน เลยรอคิวครับ


สั่งไปสักพักก็มาเสริฟ รอไม่นาน สั่งเป็นชุดครับ มีข้าวผัดไข่หมู, หมูทอด, ราเมง 1 ชาม โอ้โห...อร่อยมากๆ อร่อยจริงๆครับ ชุดละ 880 เยน


ดูเส้นราเมงแบบใกล้ๆ มีไข่ยางมะตูมด้วย ขนาดยังไม่ได้ไปชิมที่ Canal city ตามที่แนะนำกันนะครับ ยังอร่อยขนาดนี้


ทานอิ่มก็มารอรอไฟใต้ดินกันต่อ คราวนี้เราจะนั่งไปลงสถานีเทนจิน เพื่อเดินเท้าอีก 6 นาทีไปขึ้นรถไฟสาย Nishitetsu ไปศาลเจ้าดาไซฟุกันครับ


ภายในรถไฟใต้ดิน คนพอประมาณ


ลงที่สถานีเทนจิน ก็เดินใต้ดินกันต่อ ใต้ดินนี้มีร้านขายเสื้อผ้าเยอะแยะเลย ประดับไฟก็สวยครับ


ไม่ต้องกลัว เดินไปตามป้ายที่มีสัญลักษณ์รถไฟ Nishitetsu Fukuoka(Tenjin)Station เดินตรงไปข้างหน้าเลยครับ


เดินสักพักก็จะมีป้ายบอกให้เลี้ยวออกไปทางขวามือ ไปตามลูกศรว่าไว้เลย


ออกมาก็ยังอยู่ในอาคารนะครับ เดินขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้น 2 เพื่อไปยังสถานี Nishitetsu Fukuoka(Tenjin)



พอถึงชั้น 2 ก็เดินไปตามป้ายที่บอกสถานีเลยครับ ถึงทางเข้าสถานีแล้ว มีอยู่ 3 รางด้วยกัน ขึ้นรางไหนก็ได้ครับเพราะไปลงที่สถานี Nishitetsufutsukaichi ทั้งสิ้น เลือกเอารางที่ออกเร็วสุดครับ ในที่นี่คือราง 2 ออก 12.54 น. เข้าไปทางเข้าด้านขวามือสุด เพราะเป็นเลนที่มีเจ้าหน้าที่ยืนอยู่ ยื่นพาสที่ซ์้อมาได้เลย


ด้านซ้ายราง 1 ด้านขวาราง 2


ด้านขวาราง 2 รถไฟแบบธรรมดา ก็ขึ้นขบวนนี้หล่ะครับ


ภายในรถไฟครับ


นั่งไปสักพัก ไม่รู้ว่าถึงสถานีหรือยัง เลยใช้ Galaxy Note 10.1 เปิด google map แล้วดุว่าถึงไหนแล้ว work มากๆครับ สุดท้ายใกล้ๆถึงสถานี Nishitetsufutsukaichi ก็จะสังเกตเห็นว่ามีรถไฟแล่นฉีกออกไปทางด้านซ้ายมือ นั่นแหล่ะคือขบวนที่เราต้องนั่งต่อ


พอถึงสถานี Nishitetsufutsukaichi ก็ลงแล้วเดินข้ามสะพานลอยไปยังราง(แทร็ค) 1 ครับ


 รอที่ราง 1 เพื่อจะนั่งสาย Nishitetsu Dazaifu สักพักใหญ่ๆ เพราะพลาดขบวนที่แล่นไปก่อนหน้านี้


ได้ขึ้นรถไฟแล้วครับ


สายนี้นั่งไม่นาน นั่งแค่ 5 นาทีก็ถึงสถานี Dazaifu แล้ว


เดินออกมาจากสถานีก็จะเจอกับที่จอดรถบัส เดินตรงไปข้างหน้าเลยครับ


ตรงนี้เป็นจุดเริ่มต้นถนนคนเดินเพื่อไปยังศาลเจ้าดาไซฟุ และวัด Komyozenji วัดในนิกายเซน


นักเรียนญี่ปุ่นก็มาช๊อปปิ้งด้วยแฮะ


ร้านตุ๊กตาเอาใจคนชอบแมวคิตตี้ เอ๊ะ...ไม่ใช่แมวแล้วใช่มั้ยเนี่ย??


ผู้สูงอายุชาวญี่ปุ่นก็แต่งชุดประจำชาติมาเดินเที่ยวนะครับ


ร้านนี้ของราคา 1,000 เยน หรือเปล่า?? นักเรียนหญฺงชาวญี่ปุ่นสนใจมาเลือกซื้อกันเยอะเลย


ปลาหมึกครับ ให้ชิมกันได้


ตรงไปต้องผ่านเสาโทริอิ


แต่เดี๋ยวก่อน ขอมาแอบส่องร้านนี้ก่อน เห็นขายไข่ปลาคอด


ขอลองชิมสักไม้ ราดอะไรก็ไม่รู้ ไม้ละ 200 เยน ผลปรากฎว่ารสชาติไม่ผ่านอย่างแรง...เฮ้อ...


เดินต่อ ร้านขนมน่ารักๆ


แล้วก็มาถึงร้านนี้ กาแฟสตาร์บัคส์ที่ต้องเข้าให้ได้ เพราะออกแบบได้เก็ไม่เหมือนใครมากๆ


แต่ก่อนจะเข้าร้านสตาร์บัคส์เรามายืนต่อแถวซื้อโมจิถั่วแดงไปทานกับกาแฟก่อน ทำกันสดๆเลยครับ


ซื้อมา 5 ชิ้น ชิ้นละ 120 เยน ผมเหมา 2 ชิ้น อิอิ


ซื้อโมจิเสร็จก็มาเข้าคิวร้านสตาบัคส์กันต่อ คิวยาวพอควรเลยนะครับ แต่อยากใช้บริการร้านนี้มาก เลยอดทนรอ


สั่งอะไรดีน้าาาา เลือกได้ตามสะดวก ราคาก้เท่าๆกับในไทยนะครับ นั่นหมายความว่า ที่ไทยราคาขายเมื่อเทียบกับค่าครองชีพจะแพงมากๆ ผมเลยไม่ค่อยทานสตาบัคส์ในไทย


ได้ที่นั่งแล้ว ภายในร้านตกแต่งแปลกๆดี


ดูด้านบนสิครับ ไม้จะหล่นใส่หัวมั้ยเนี่ย?? แอบสงสัยจัง


โอ้ววว....คนยืนรอหน้าร้านอีกเพียบจ้า


กาแฟที่สั่งได้แล้ว 4 คน 4 รสชาติไม่เหมือนกันเลยแฮะ


ทานกับโมจิร้อนๆไส้ถั่วแดง ฟินสุดๆฮะ


ทานเสร็จก็ออกมาเดินต่อ ระหว่างทานก็จะเจอกับร้านขายโมจิหลากหลายร้าน แต่ละร้านคนก็รอคิวกันตลอดเลย


นี่ก็อีกร้านครับ เรียกได้ว่า มาเดินถนนคนเดินที่นี่มีของกินให้เลือกกินกันไม่ขาดตกบกพร่องเลย [อ่านต่อ ตอน 1.5]


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

4 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณสำหรับข้อมูลนะคะ ละเอียดมีประโยชน์มากที่เดียวค่ะ

    ตอบลบ
  2. ขอไลน์ติดต่อหน่อยได้มั้ยคะ จะขอสอบข้อมูลนิดนึงคะ

    ตอบลบ