วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 0 เตรียมตัวก่อนเดินทางไปดินแดน "อาทิตย์อุทัย"


บันทึกการเดินทางท่องเที่ยวของผมนั้น ผ่านมาก็เป็นหลักร้อยแล้ว แต่ไม่มีบันทึกการเดินทางทริปไหนที่ต้องเริ่มด้วยตอน 0 เลยครับ เพราะส่วนใหญ่หัวข้อการเตรียมตัวไปเที่ยวในทริปนั้นๆ ผมจะใส่ไว้ในตอนแรก หรือตอน 1 อยู่แล้วสม่ำเสมอ แต่สำหรับการไปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกนี้ ต้องทำแยกออกมาเป็นอีกหนึ่งตอนโดยเฉพาะเลย เพราะการจะไปเที่ยวญี่ปุ่นนั้น ภาษาอังกฤษไม่ได้ช่วยอะไรเราเท่าไหร่เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่ผมได้เดินทางไปเที่ยวมา ดังนั้น การเตรียมตัวก่อนเดินทางไปญี่ปุ่นนั้น โดยเฉพาะไปเองไม่ได้ไปกับทัวร์สำคัญเอามากๆ เตรียมทุกอย่างให้ครบถ้วนตลอด ไม่ใช่ไปเผื่อ หรือไปรอคิดเอาตอนนั้นที่อยู่ในญี่ปุ่น มันจะเสียเวลาอันมีค่า และจะหลง งง ทำอะไรไม่ได้มากหรอกครับ

ผมขอเริ่มด้วยการที่ประเทศญี่ปุ่นยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทย โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 เป็นต้นไป
  • ก่อนหน้านี้ที่ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพำนักระยะสั้นในประเทศญี่ปุ่นนั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นได้ประกาศเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 กรกฏาคม พ.ศ.2556 และสามารถพำนักในประเทศญี่ปุ่นได้ 15 วัน (หากผู้ยื่นประสงค์จะพำนักในประเทศญี่ปุ่นเกิน 15 วัน หรือไปทำงาน หรือมีวัตถุประสงค์อื่นๆ จะต้องยื่นขอวีซ่าตามปรกติ)
  • การยกเว้นวีซ่าเข้าประเทศญี่ปุ่นให้กับคนไทยนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างประเทศญี่ปุ่นกับประเทศไทย
  • ผู้ที่จะเข้าประเทศได้นั้น จะต้องผ่านการพิจารณาจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก่อนจึงจะสามารถเข้าประเทศได้ (เช่นเดียวกับผู้ที่ยื่นขอวีซ่ากับทางสถานเอกอัครราชทูต) ทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจะสอบถามถึงวัตถุประสงค์ในการเข้าประเทศ หรือขอตรวจเอกสารที่จำเป็น เช่น ตั๋วเครื่องบินขากลับ หรืออื่นๆ
  • กรณีผู้ที่เคยมีประวัติการถูกส่งตัวกลับจากประเทศญี่ปุ่น ผู้ที่อยู่ในระยะเวลาของการถูกปฎิเสธไม่ให้เข้าประเทศญี่ปุ่น ผู้ที่เคยละเมิดกฏหมายของประเทศญี่ปุ่น หรือประเทศอื่น และถูกศาลตัดสินลงโทษให้จำคุกมากกว่า 1 ปีจะไม่สามารถเข้าประเทศญี่ปุ่นได้ แต่ในกรณีที่มีเหตุสำคัญเกี่ยวกับทางด้านมนุษยธรรมที่จำเป็นต้องเข้าประเทศญี่ปุ่นนั้น สามารถติดต่อขอรับคำปรึกษาได้
  • หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายวีซ่า แผนกกงสุล สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น หมายเลขติดต่อ หมายเลขโทรศัพท์ 02-207-8503 หรือ 02-696-3003 ที่มา : เว็บสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย
หลังจากมีประกาศนี้ ผมว่าเป็นตัวจุดประกายหลักเลยก็ว่าได้ที่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นมากขึ้นมากๆ (ก็แน่ละสิ เพราะไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาไปทำวีซ่า หรือต้องมาลุ้นว่าวีซ่าจะผ่านหรือไม่?) เหล่าบรรดานักท่องเที่ยวไทยที่อัดอั้นในการขอวีซ่าไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็ดีใจกันยกใหญ่รวมทั้งผมด้วย 1 กรกฎาคม ปีที่ผ่านมาคนไทยเลยไปญี่ปุ่นกันมากขึ้น ทำให้แหล่งข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตมีการแชร์ข้อมูลการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นกันมากขึ้น การไปเที่ยวญี่ปุ่นสำหรับคนไทยนั้นง่ายมากขึ้น สะดวกมากขึ้น ทางเลือกในการไปแต่ละเมืองมีมากขึ้นแต่ก่อนเยอะเลย

แต่แล้วไม่ทันไร 3-4 เดือนหลังจากมีมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทย ข่าวลือก็มีออกมาทำนองว่า คนไทยเข้าประเทศญี่ปุ่นไปแล้ว ก็ไม่ยอมกลับประเทศ ไปเป็นแบบโรบินฮู๊ดบ้างหล่ะ หลบเลี่ยงเพื่อหางาน อยู่ในญี่ปุ่นแบบผิดกฎหมาย และอื่นๆ ซึ่งกลายเป็นข่าวลือว่าทางการญี่ปุ่นถึงกลับต้องทบทวนมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับคนไทยเข้าประเทศดังกล่าวนี้ เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้ว ทางการญี่ปุ่นก็ออกมายืนยันว่าไม่เคยมีการประกาศยกเลิกมาตรการเหล่านี้แต่อย่างไร เพราะฉะนั้นข่าวลือเหล่านี้จึงไม่เป็นความจริง

ครับ หลังจากได้รับทราบถึงข้อมูลทั้ง 2 อย่างแล้วจากทางการญี่ปุ่น ก็ใจชื้นมากขึ้น เราก็สามารถไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไม่ต้องขอวีซ่าได้แล้ว แต่อยากพึงขอพวกเราคนไทยไว้ว่า ประเทศญี่ปุ่นเขาเมตตายกเว้นวีซ่าให้เราคนไทยแล้ว เราเองก็ควรไปเที่ยวประเทศเขาอย่างถูกต้อง ถูกกาละเทศะตามประเทศเขาที่ปฏิบัตกกันนะครับ ไม่อยากเห็นข่าวว่าคนไทยพอไปญี่ปุ่นแล้วก็ไปเอะอะโวยวายในรถไฟที่ญี่ปุ่น ไปใช้โทรศัพท์มือถือคุยอย่างเสียงดัง ซึ่งเขาก็มีประกาศอยู่แล้วบนรถไฟไม่ให้ใช้โทรศัพท์และตั้งสั่นไว้นะครับ ฝากพวกเราชาวไทยช่วยกันด้วย เป็นนักท่องเที่ยวที่ดีกันครับ

มาทำความรู้จักกับประเทศญี่ปุ่นให้มากขึ้นกันครับ!


ญี่ปุ่น / 日本国 / นิปปง / นิฮง / Japan เป็นประเทศหมู่เกาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ทางตะวันตกติดกับคาบสมุทรเกาหลี และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีทะเลญี่ปุ่นกั้น ส่วนทางทิศเหนือ ติดกับประเทศรัสเซีย มีทะเลโอค็อตสค์ เป็นเส้นแบ่งแดน ตัวอักษรคันจิของชื่อญี่ปุ่นแปลว่าถิ่นกำเนิดของดวงอาทิตย์ จึงทำให้บางครั้งถูกเรียกว่าดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย

ญี่ปุ่นมีเนื้อที่กว่า 377,930 ตารางกิโลเมตร นับเป็นอันดับที่ 61 ของโลก หมู่เกาะญี่ปุ่นประกอบไปด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 3,000 เกาะ เกาะที่ใหญ่ที่สุดก็คือเกาะฮนชู ฮกไกโด คีวชู และชิโกกุ ตามลำดับ เกาะของญี่ปุ่นส่วนมากจะเป็นหมู่เกาะภูเขา ซึ่งในนั้นมีจำนวนหนึ่งเป็นภูเขาไฟ เช่นภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาที่สูงที่สุดในประเทศ เป็นต้น ประชากรของญี่ปุ่นนั้นมีมากเป็นอันดับที่ 10 ของโลก คือประมาณ 128 ล้านคน เมืองหลวงของญี่ปุ่นคือกรุงโตเกียว ซึ่งถ้ารวมบริเวณปริมณฑลเข้าไปด้วยแล้วจะกลายเป็นเขตเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 30 ล้านคน

ประเทศญี่ปุ่นมีลักษณะเป็นหมู่เกาะซึ่งมีจำนวนมากกว่า 3,000 เกาะวางตัวอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออกของทวีปเอเชีย เกาะที่สำคัญเรียงจากเหนือไปใต้ได้แก่ ฮอกไกโด, ฮอนชู, ชิโกกุ และคิวชู นอกจากนี้ยังมีหมู่เกาะริวกิวทางตอนใต้ของเกาะคิวชู ซึ่งเกาะทั้งหมดนี้เรียกรวมกันว่าหมู่เกาะญี่ปุ่น ญี่ปุ่นถูกล้อมรอบด้วยทะเลทุกด้าน ได้แก่ทะเลโอค็อตสค์ทางเหนือ ทะเลญี่ปุ่นทางตะวันตก ทะเลจีนตะวันออกทางตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลฟิลิปปินส์ทางใต้ และมหาสมุทรแปซิฟิกทางตะวันออก พื้นที่ประมาณร้อยละ 70 เป็นภูเขา ซึ่งไม่สามารถใช้เป็นที่อยู่อาศัยหรือทำการเพาะปลูกได้ เพราะมีลักษณะสูงชันและมีโอกาสที่จะเกิดดินถล่มจากแผ่นดินไหวหรือฝนที่ตกหนัก ประชากรญี่ปุ่นส่วนใหญ่จึงต้องอาศัยอยู่บริเวณชายฝั่งอย่างหนาแน่น และทำให้เมืองสำคัญในญี่ปุ่นมีประชากรหนาแน่นมาก ใน พ.ศ. 2548 ญี่ปุ่นมีป่าไม้ร้อยละ 66.4 พื้นที่ทางการเกษตรร้อยละ 12.6 อาคารร้อยละ 4.9 พื้นน้ำร้อยละ 3.5 ถนนร้อยละ 3.5 และอื่น ๆ ร้อยละ 9  ที่มา : http://th.wikipedia.org/

จากข้อมูลจะเห็นได้ว่า เกาะใหญ่สุดคือเกาะฮอนชู ซึ่งเป็นที่ตั้งเมืองสำคัญมากมายของญี่ปุ่น เช่น โตเกียว ชิบะ โอซาก้า เกียวโต นารา โกเบ ฮิโรชิม่า โอกายาม่า ฯลฯ

เมื่ออยู่ดีๆ สวรรค์ตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นราคาประหยัดก็มาโปรด

รายละเอียดการจองตั๋วเครื่องบินไปฟูกุโอกะ จากเจ๊ทสตาร์ 2 คน
เดือนกุมภาพันธ์ 2557 ผมเพิ่งกลับจากทริปฮ่องกง-มาเก๊ามาแท้ๆ อยู่ๆ ก็ได้รับทราบข้อมูลสายการบิน Jetstar เปิดไฟล์ทบินจากสิงคโปร์ไปลงเมืองฟูกุโอกะ เกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น โดยจะมาทรานสิทที่กทม. ที่สนามบินสุวรรณภูมินั่นเอง ซึ่งกลายเป็นว่า คนที่จะเดินทางไปฟูกุโอกะโดยขึ้นเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ผู้โดยสารไทยๆเรานั่นแหล่ะครับ จะได้อานิสงฆ์เปรียบเสมือนไฟล์ทตรง(Direct flight) จากสุวรรณภูมิไปฟูกุโอกะนั่นเอง อะไรจะโชคดีขนาดนี้นะ อิอิ

วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2557 ก็เป็นอันว่าผมได้หลวมตัวจองตั๋วเครื่องบินไฟล์ท กทม.-ฟูกุโอกะ ของสายการบินเจ๊ทสตาร์ด้วยราคาไปกลับ 17,644.06 THB สำหรับ 2 คน หรือคิดต่อคนก็ตกราคาละประมาณ 8,822.03 บาท โดยซื้อโหลดสัมภาระขาไป 20 kg. และขากลับ 25 kg. ครับ จะเห็นว่าแม้ไม่ได้ราคาโปรโมชั่นซึ่งราคาถูกสุดรู้สึกจะ 4 พันกว่าบาท หรือยังไงไม่แน่ใจ แต่ด้วยราคาที่ได้นี้ ผมก็พอใจแล้วครับ เพราะราคาตั๋วไปกลับญี่ปุ่นไม่ถึงหมื่นบาทเอง มีที่ไหนบ้าง??

แต่ด้วยที่ผมต้องเปลี่ยนแผนการเดินทางเดิม จากครั้งแรกที่แพลนไว้ว่าจะไปตอนกลางเดือนกันยายนนั้น ต้องมาเปลี่ยนวันเดินทางใหม่เป็นกลางเดือนพฤศจิกายน ทำให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มอีกคนละ 3,000 บาท หายซ่าไปเลยครับ แต่ยังไง ผมก็ว่าคุ้มนะ เพราะเดือนกันยายนมีมรสุมเข้า ฝนตกตลอด เปลี่ยนไปเดือนพฤศจิกายน เพื่อดูใบไม้เปลี่ยนสีนี่ถือว่าคุ้มกับที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มมากๆครับ ยังไงใครมือใหม่ก็ลองดูของผมไว้ครับ ไปญี่ปุ่น ถ้าอยากไปแล้วสีสันสวยงาม ต้องเดือนพฤศจิกายน ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี(ฤดูใบไม้ร่วง) และอีกฤดูหนึ่งก็คือ ฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ซึ่งจะได้ชมดอกซากุระผลิดอกพรึ่บเต็มไปหมดครับ ผมเอง ยังรอช่วงนี้เพื่อจะไปดูให้ได้อีกเหมือนกัน

ส่วนสายการบินอื่นที่ราคาประหยัดนั้น ก็คงจะเป็นแอร์เอเชียเอ๊กซ์ ที่ตอนนี้เปิดบินตรงไปญี่ปุ่น หลายเมืองด้วยกัน เช่น นาโกย่า, โอซาก้า, โตเกียว ทั้งที่สนามบินฮาเนดะ และนาริตะ เสียดายที่ตอนนั้นแอร์เอเชียเองยังไม่เปิดบินไปญี่ปุ่น ไม่งั้นคงจะมีการลดถล่มทลายต่อสู้กับเจ๊ทสตาร์กันไปข้างหนึ่งแน่ๆ ผมว่า อีกหน่อย เส้นทางไปฟูกุโอกะ แอร์เอเชียเองก็คงอาจทำตลาดแข่งสู้กับเจ๊ทสตาร์ในอนาคตอันใกล้เป็นแน่แท้ เพราะเกาะคิวชูนั้น ก็มีแหล่งท่องเที่ยวเยอะแยะมากมาย แถมยังสงบไม่พลุกพล่านมากเหมือนเมืองใหญ่ๆ อย่างเช่นโตเกียว โอซาก้า อีกด้วย

ถ้าผมได้มีโอกาสไปญี่ปุ่นอีกครั้ง ซึ่งอยากไปช่วงดอกซากุระบานตอนเดือนมีนาคม-เมษายน ผมว่าคงได้ใช้บริการแอร์เอเชียเป็นแน่แท้ อิอิ

ไปเที่ยวญี่ปุ่นกี่วันดี, แผนเดินทางเป็นอย่างไร??
เนื่องจากผมไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไม่ต้องขอวีซ่า ซึ่งจำนวนวันที่ไปพำนักในญี่ปุ่นแบบยกเว้นวีซ่านั้นมากที่สุดได้ 15 วัน อันนี้เป็นข้อกำหนดโดยปริยายแล้ว ถ้าไม่นับการเข้าญี่ปุ่นแบบขอวีซ่าปกติทั่วไป ประกอบกับ การได้สอยตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นกันแล้ว นั่นก็แสดงว่าเราตั้งแพลนไว้ในใจอยู่แล้วว่าจะไปกันกี่วัน เพราะตั๋วเครื่องบินมันต้องจองไปและกลับ ถึงจะเข้าเมืองเขาได้ ผมจองไปดึกของวันศุกร์ต่อวันเสาร์ และกลับมาถึงไทยในช่วงบ่ายของวันอาทิตย์ในสัปดาห์ต่อไป ซึ่งก็คือผมวางแผนไว้เที่ยว 8 วันเต็มๆนั่นเอง ส่วนวันเดินทางกลับไม่นับ 
และด้วยการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกของผม ผมเลยอยากไปแบบหลายๆสถานที่ในครั้งเดียวกันนี้ โดยที่ระยะเวลาทั้งหมด 8 วันครั้งนี้จะอำนวย ทำให้ผมคิดแผนเดินทางข้ามภูมิภาคทั้งเกาะคิวชู เกาะที่เครื่องลงจอดเป็นอันดับแรก และไล่ขึ้นเหนือไปเรื่อยๆ คือเกาะฮอนชู ที่ฮิโรชิม่า ไปโอซาก้า แวะเที่ยวเกียวโตและนารา และอีกคืนก่อนคืนสุดท้ายอยากไปชมวิวภูเขาไฟฟูจิ ณ ทะเลสาบคาวากูจิโกะ ก่อนจะกลับมาพักคืนสุดท้ายที่ญี่ปุ่นที่ฮากาตะ แล้วเดินทางกลับไทยในวันรุ่งขึ้น ฉะนั้น แพลนเที่ยวทั้ง 8 วันเต็มของผมก็จะออกมาเป็นดังนี้
DAY1 (15 พฤศจิกายน 2557):  BKK - FUK - Dazaifu - Canal City [ตอน 1] [ตอน 1.5]
DAY2 (16 พฤศจิกายน 2557): Hotel (Kurume) - Mt. Aso - Kumamoto Castle - Shimotori Shopping Street - Hotel (Kurume) [ตอน 2] [ตอน 2.25] [ตอน 2.5] [ตอน 2.75]
DAY3 (17 พฤศจิกายน 2557): Hotel (Kurume) - Beppu - Yufuin [ตอน 3] [ตอน 3.3] [ตอน 3.6]
DAY4 (18 พฤศจิกายน 2557): Yufuin - Miyajima - Itsukushima Torii - Atomic Bomb - Hondori - Okonomiyaki - Hiroshima [ตอน 4] [ตอน 4.3] [ตอน 4.6]
DAY5 (19 พฤศจิกายน 2557): Hiroshima - Nara - Dotonbori - Osaka [ตอน 5] [ตอน 5.25] [ตอน 5.5] [ตอน 5.75]
DAY6 (20 พฤศจิกายน 2557): Osaka - Kyoto - Osaka [ตอน 6] [ตอน 6.25] [ตอน 6.5] [ตอน 6.75]
DAY7 (21 พฤศจิกายน 2557): Osaka - Kawaguchiko Lake - ชมวิวภูเขาไฟฟูจิ [ตอน 7] [ตอน 7.5]
DAY8 (22 พฤศจิกายน 2557):  Kawaguchiko Lake - Osaka - Fukuoka [ตอน 8] [ตอน 8.5]
DAY9 (23 พฤศจิกายน 2557):  Hakata - Fukuoka Airport - BKK [ตอน 9]

เว็บที่ใช้ในการวางแผนเดินทางโดยรถไฟในญี่ปุ่นทั้งของ JR และเอกชนอื่นๆ (รถไฟใต้ดิน หรือ subway) และเว็บรถบัสในเมืองเกียวโต เพิ่มเติม: รถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทร
คงเป็นที่ทราบกันบ้างแล้ว ว่าการเดินทางในญี่ปุ่นนั้น การเดินทางโดยใช้รถไฟนั้นนิยมแพร่หลายมากๆ ประชากรส่วนใหญ่ของญี่ปุ่นก็ใช้วิธีเดินทางกันแบบนี้ จึงไม่น่าแปลกที่เราจะเห็นสถานีรถไฟใหญ่ๆ คราคร่ำไปด้วยคนญี่ปุ่นที่ส่วนใหญ่ใช้บริการรถไฟในการเดินทางมากที่สุด ฉะนั้น การวางแผนการเดินทางนั้นเป็นสิ่งจำเป็นและจะต้องเตรียมให้เรียบร้อยก่อนจะเดินทางไปญี่ปุ่นจริงๆ ไม่ใช่มางงว่าจะไปไหนดี ใช้ขบวนรถไฟสายไหนบ้าง

ตัวอย่างหน้าจอผลลัพธ์เมื่อค้นหาตารางรถไฟด้วย Hyperdia.com
เว็บที่เป็นที่นิยมที่ใช้วางแผนเดินทางกันก็คือเว็บ www.hyperdia.com ซึ่งผมใช้วางแผนในการเดินทางของผม 8 วันด้วยกัน 

พิมพ์แผนการเดินทาง, ตั๋วเครื่องบิน, ใบจองโรงแรม, ตารางรถไฟในแต่ละวันไปให้ครบ 2 ชุดด้วยกัน อีกชุดให้เจ้าหน้าที่สำหรับจองที่นั่งรถไฟชินกันเซ็น
พิมพ์เตรียมไว้ในกระดาษพร้อม โดยพิมพ์อีก 1 ชุดเพื่อเตรียมไปให้เจ้าหน้าที่ JR เมื่อเราไปถึงที่ญี่ปุ่น เพื่อให้เขาจองที่นั่งให้เราในขบวนรถไฟชินคันเซ็น เพราะไม่งั้นแล้ว เราต้องเขียนกรอกเองในแบบฟอร์มของเขาซึ่งจะทำให้เสียเวลามากๆ ถ้าเรามีการจองหลายวันหลายขบวน และมีหลายคนในทริปด้วยกัน ขนาดผมพิมพ์ไป ยังเสียเวลาไป 20 กว่านาทีกว่าจะได้ตั๋วจองครบทุกคน ทั้ง 4 คน รวมแล้วก็ 40 ตั๋วจองด้วยกันครับ!

ตัวอย่างหน้าจอผลลัพธ์เมื่อค้นหาตารางรถบัสในเกียวโตด้วย www.arukumachikyoto.jp
ถ้าเรามีแผนเดินทางไปเที่ยวเกียวโตด้วย สิ่งที่จะตามมานอกจากการเดินทางโดยรถไฟคือ การเดินทางโดยรถบัส หรือรถเมล์ของญี่ปุ่นนั่นเอง ฉะนั้น เพื่อเป็นการเตรียมตัวเกี่ยวกับสายรถเมล์ต่างๆที่เราจะต้องนั่งไปลงสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆในเกียวโต เว็บนี้จะช่วยวางแผนการเดินทางโดยรถบัสเราได้ครับ การทำงานก็คล้ายๆกับ hyperdia.com ที่ว่าไว้ข้างต้น แต่เปลี่ยนจากรถไฟเป็นรถบัสแค่นั้นเอง เว็บที่ว่านี้คือ http://www.arukumachikyoto.jp/index.php?lang=en เลือกสถานที่ต้นทาง เช่น Kinkaku-ji Temple(Rokuon-ji Temple,Golden Pavilion) (วัดทอง) และเลือกสถานที่ปลายทาง เช่น Ginkaku-ji Temple(Jisho-ji Temple) (วัดเงิน) ใส่วันที่ และเวลา กด search ก็จะปรากฎเวลา เส้นทาง และหมายเลขรถบัส ว่าจะไปต่อที่ไหนบ้าง พร้อมราคาในแต่ละเส้นทาง แต่ถ้าเราซื้อ City bus 1 day pass เรื่องค่าโดยสารก็ไม่ต้องกังวลเพราะขึ้นกี่ครั้งก็ได้ใน 1 วันเพียงแสดงพาสที่ว่ามานี้ให้กับคนขับรถตอนลงรถครับ

แอ๊พ Tokyo Subway Navigation
โตเกียวขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงที่คนแออัดมากๆ แต่ด้วยการคมนาคมที่ทันสมัย ในที่นี่คือรถไฟใต้ดิน หรือเรียกว่า Tokyo Metro Subways ได้ช่วยพาผู้คนจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งอันรวดเร็ว แต่ก็นั่นแหล่ะครับ แผนที่รถไฟใต้ดินของโตเกียวนั้นใครเห็นครั้งแรกต้องส่ายหัวแน่ๆครับ เพราะมันโยงใยกันงงมากๆ
แผนที่เส้นทางรถไฟใต้ดินโตเกียวเมโทร
แต่ด้วยแอ๊พที่ชื่อว่า Tokyo Subway Navigation จะทำให้ท่านไม่หลงทางอีกต่อไป
แอ๊พโตเกียวเมโทรนาวิเกชั่น
ดาวน์โหลดไปได้เลยครับ แอนดรอยด์ : iOS ตัวแอ๊พจะบอกเส้นทางว่าต่อสายอะไร ราคา,  พร้อมระยะเวลา สะดวกเอามากๆ
บัตรผ่านแบบพิเศษ JR Pass

ใบจองที่นั่งรถไฟชินคันเซ็น, JP Pass ของจริงที่ไปเปลี่ยนที่ญ๊่ปุ่น (ด้านหลังและด้านหน้า กลางมาขวา ตามลำดับ)
บัตรผ่านแบบพิเศษที่ทางการญี่ปุ่นเขามอบให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติอย่างเราๆนั้น บัตรผ่านที่ผมว่านั้น คือ JR Pass นั่นเอง ถามว่า JR Pass คืออะไร ตอบตามความเข้าใจผมละกันครับ 
JR Pass แปลตรงตัวคือ Japan Rail Pass เป็นบัตรผ่านแบบพิเศษที่ทางการญี่ปุ่นมอบให้นักท่องเที่ยวชาติต่างชาติ(เหมือนกับสวิสพาส) ที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นได้ใช้เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยจะเป็นบัตรผ่านในการใช้งานรถไฟของค่าย JR ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ทั้งรถไฟความเร็วสูงอย่างชินคันเซ็น(ไม่รวมขบวน Nozomi) และรถไฟท้องถิ่นปกติที่มีอยู่ทั่วไปตามเมืองต่างๆ อีกทั้งรถบัส หรือเรือเฟอร์รี่ข้ามเกาะของค่าย JR ใช้กี่ครั้งก็ได้ ภายในระยะเวลาที่เราซื้อ JR Pass นั้นๆ 

JR Pass แบ่งออกตามระยะเวลาที่ต้องการใช้งานได้ดังนี้
1.   7 วัน
2. 14 วัน
3. 21 วัน

แบ่งตามชั้น หรือคลาสได้ 2 แบบดังนี้
1. ชั้นธรรมดา / Ordinary
2. ชั้นกรีน / Green

JR Pass มีทั้งราคาผู้ใหญ่ และราคาสำหรับเด็กด้วย นอกจากนั้น ยังสามารถซื้อแยกตามภูมิภาคของประเทศญี่ปุ่นได้อีกด้วย ซึ่งก็ทำให้ประหยัดไปได้อีกถ้าเราเฉพาะเจาะจงไปภูมิภาคนั้นๆเพียงที่เดียว ไม่ได้เดินทางข้ามภูมิภาค ซึ่งแบ่งได้ดังนี้
1.ภาคเหนือ JR Hokkaido Rail Pass
2.ภาคตะวันออก JR East Rail Pass   (ทางประเทศญี่ปุ่นมีนโยบายให้ซื้อได้ที่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น)
3.ภาคตะวันตก JR West Rail Pass
4.ภาคใต้ JR Kyushu Rail Pass

ซื้อ JR Pass ได้ที่ไหนบ้าง??

JR Pass แบบ exchange order ที่ซื้อจากเมืองไทย แล้วค่อยไปเปลี่ยนแบบของจริงที่ญี่ปุ่น (ดังรูป JR Pass ด้านบน)
ผมเสิร์ชเอาจากเน็ตว่าที่ไหนขายบ้าง ราคาแบบ 7 วัน Ordinary เท่ากับ 29,110 เยน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2557 ซึ่งรายใหญ่ๆ ที่คนไทยจะซื้อกันก็จะมี
1.H.I.S. อันนี้รายใหญ่ เห็นใครๆก็ซื้อที่นี่
2.ACCORD TRAVEL SERVICE ผมซื้อเจ้านี้ ที่ซื้อเจ้านี้เพราะ
  • ราคาถูกกว่าเจ้าแรกและเจ้าอื่นๆ (ราคาที่ได้โปรโมชั่น ณ ขณะนั้นคือ 8,750 บาท/ใบ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับ exchange rate ค่าเงินเยนด้วยครับ เพราะเงินเยนอ่อนลงมาเรื่อยๆเลย ตอนนี้คงได้ราคาถูกว่าที่ผมซื้อ) 
  • มีโปรโมชั่นซื้อ 4 ใบ แถม Pocket WiFi มูลค่าใช้บริการ 1,400 บาท ก็เลยไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะคุ้มสุดๆแล้ว
3.Painaima
4.Wismatravel

มาทำความรู้จักกับตั๋วจองที่นั่งของรถไฟชินคันเซ็นกัน

ตัวอย่างตั๋วจองที่นั่งรถไฟชินคันเซ็นขบวน TSUBAME 311 จากสถานีคุรูเมะไปสถานีคุมาโมโตะ
ถ้าเราใช้ JR Pass ในการขึ้นรถไฟชินคันเซ็นแล้ว การจองที่นั่งในขบวนรถไฟดังกล่าวก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆเพิ่มเติมอีก แม้ว่า JR Pass จะใช้ขึ้นรถไฟชินคันเซ็นได้เลยในโบกี้หรือตู้แบบ non-reserved seat แต่การจองที่นั่งไว้ล่วงหน้านั้นก็เป็นการดีถ้าช่วงเวลาที่เราใช้บริการรถไฟนั้นเป็นช่วงเวลาทำงานเร่งด่วนของคนญี่ปุ่นเขา, ช่วงหน้าท่องเที่ยว หรือไฮซีซั่น ฯลฯ เพราะการจองที่นั่งไว้จะเป็นการรับประกันว่าในรถไฟขบวนที่เราจะขึ้นนั้น มีที่นั่งให้เรานั่งสบายๆอยู่แล้วนั่นเอง ไม่ต้องไปลุ้น หรือพะวงว่าเวลาขึ้นรถไฟไปแล้วจะมีที่นั่งพอหรือไม่? 

การจองที่นั่งสามารถทำได้ที่ออฟฟิศ JR ทั่วไปที่มีสัญลักษณ์สีเขียวเหมือนกับการเปลี่ยนเป็น JR Pass ของจริงนั่นเอง ตั๋วจองที่นั่งนั้นจะเป็นบัตรแข็งขนาดเท่าๆกับตั๋วรถไฟหวานเย็นในไทยเรา แต่ในรูปที่นำมานั้นผมขยายใหญ่เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนครับ
ที่ตั๋วจองฯจะแสดงสถานีต้นทางและปลายทางไว้ชัดเจนพร้อมบอกเวลาออกจากสถานีต้นทาง และเวลาถึงที่สถานีปลายทาง พร้อมชื่อขบวนรถไฟที่เราได้จองไว้, โบกี้/ตู้ อะไร, ที่นั่งหมายเลขอะไร เป็นต้น

ในที่นี่ ตัวอย่างที่เอามาแสดงเป็นตั๋วจองที่นั่งรถไฟชินคันเซ็นขบวน TSUBAME 311 ขึ้นจากสถานีคุรูเมะ(รถออกเวลา 7.51 น.)ไปลงสถานีปลายทางที่คุมาโมโตะ(รถถึงเวลา 8.21 น.) ด้วยที่นั่ง 10-B ในโบกี้/ตู้ ที่ 4

ไปญี่ปุ่นพักที่ไหนดีนะ???
ญี่ปุ่นมีที่พักทั้งที่เป็นแบบโรงแรมทั่วๆไป หรือเรียกกันว่า business hotel, ที่พักแบบโฮสเทลราคาประหยัด, ที่พักแบบดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่น หรือเรียกกันว่า "เรียวกัง" และที่พักแบบแคปซูล

ผมเองนั้น ไม่ได้เลือกเจาะจงมากมายอะไรว่าจะพักแบบไหนที่ไหนเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่ที่ทำประจำเวลาหาที่พักต่างประเทศก็คือ การเข้าไปหาตามเว็บเอเย่นต์ดังๆ เช่น Agoda, Booking ซึ่งก็จะใช้ Agoda ซะส่วนใหญ่ เพราะมีคะแนนให้เราสะสมด้วย เลยติดกับคะแนนทำให้ใช้ประจำ แถมเวลากลับมาแล้ว เวลารีวิวที่พักก็จะได้คะแนนมาครั้งละ 500 คะแนนด้วย แต่คะแนนนี้ไม่ให้แล้วตั้งแต่มกราคม 2557 ที่ผ่านมา ทำให้หมดเสน่ห์ลงไปเยอะเลย ประกอบกับกรณีล่าสุด ผมต้องยกเลิกที่พักที่ได้จองไว้ช่วงเดือนกันยายนตามแพลนครั้งแรก เพื่อไปจองที่พักในช่วงเดือนพฤศจิกายนใหม่ การยกเลิกแม้ว่าจะล่วงหน้าก่อน 7 วันก็ต้องเสียค่าปรับ แล้วไม่สามารถเปลี่ยนวันเข้าพักได้เลยแม้แต่คืนเดียว ไม่เหมือนกับการจองที่ Booking.com สามารถยกเลิกได้ และไม่เสียค่าปรับด้วย ส่วนเงินก็ไม่ได้เก็บเลย ไปถึงที่พักนั้นๆจริงเท่านั้นถึงจะจ่ายเป็นสกุลเงินท้องถิ่น กรณีนี้ทำให้ผมเข็ดกับการจองของ Agoda เลยจริงๆ ครั้งต่อๆไปต้องจองกับ booking.com เท่านั้น ซึ่งในการจองครั้งที่ 2 ผมก็จองผ่าน booking.com ซะส่วนใหญ่ครับ เหลือแค่ไม่กี่คืนที่จองผ่าน Agoda เพราะห้องที่ Booking.com หมดก่อนนั่นเอง 

ที่พักที่ดูจะสะดวกที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวน่าจะเป้นที่พักที่อยู่ใกล้สถานีรถไฟ JR มากที่สุดครับ ยิ่งสถานีที่มีชินคันเซ็นจอดด้วยแล้ว ถือว่าสุดยอดครับ ผมได้ที่พัก 2 คืนที่โอซาก้าห่างจากสถานีรถไฟ JR ท้องถิ่นแค่เดิน 5 นาทีเอง ใกล้มากๆ ครับ และอีกที่คือ Kawaguchiko station inn อันนี้ก็อยู่ใกล้สถานีรถไฟมากๆ สะดวกครับ นี่คือเงื่อนไขอีกหนึ่งเงื่อนไขที่เลือกที่พักในญี่ปุ่นแล้วควรเลือกให้อยู่ใกล้สถานีรถไฟเข้าไว้ครับ

กลับมาเรื่องค่าปรับหรือค่าธรรมเนียมเมื่อมีการยกเลิกที่พักกันครับ เราไปเที่ยวญี่ปุ่นกันทั้งหมด 4 คนพักห้องละ 2 คน พัก 8 คืนด้วยกัน รวมแล้ว ผมต้องเสียค่าปรับยกเลิกที่พักครั้งแรกทั้งสิ้น 2,455.73 บาท!
ก็จำไว้เป็นอีกประสบการณ์ว่า เมื่อไหร่ก็ตามถ้ามีการเปลี่ยนแผนการเดินทางเกิดขึ้น ท่านจะเสียค่าใช้จ่ายหลายๆรายการเข้ามาประดังด้วยกัน ทั้งค่าตั๋วเครื่องบิน, ค่าที่พัก และค่าเดินทางอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

บอกไว้เป็นประสบการณ์นะครับ แม้ว่าผมยกเลิกที่พักช่วงเดือนกันยายน และจองที่พักใหม่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจองล่วงหน้าถึง 2 เดือนกว่าด้วยกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีที่พักเหลืออยู่เลย โดยเกิดกับพื้นที่เขตฟุกุโอกะนะครับ ผมไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะตัวเองก็เคยจองที่พักหลายประเทศที่ผ่านมา แม้ว่าจะจองล่วงหน้าเพียง 7 วันก็ตาม ยังไงก็ยังมีที่พักเหลืออยู่ แต่นี่ 2 เดือนกว่า ที่พักหมดแล้ว ก็เข้าใจอยู่ว่าเป้นช่วงพีคของญี่ปุ่น แต่ไหงทำไมไม่หลงเหลืออยู่บ้างเลย แบบโฮสเทลก็เต็มหมด จนผมต้องย้ายจากฮากาตะ ไปเลือกแถบคุรูเมะ ซึ่งอยู่ไกลออกไปจากฮากาตะถึง 40 กม.กว่าด้วยกัน ทำให้ไม่สะดวกในการเดินทางเลยครับ ใครจะไปญี่ปุ่นช่วงพีคหรือเทศกาล ก็ควรจองที่พักล่วงหน้าไว้นานๆครับ!

มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆลากไปมาระหว่างที่พักที่อยู่ข้ามภูมิภาคอย่างไรดี??

กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 2 ใบพร้อมใบ tag กำลังถูกส่งด้วยบริการส่งกระเป๋าแมวดำ หรือ Ta-Q-Bin จากโรงแรมในเมืองคุรูเมะ ไปโรงแรมในโอซาก้า โดยใช้เวลาเพียง 1 วันเท่านั้น
ผมว่าหลายคนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นคงตั้งคำถามคล้ายๆกันแบบนี้ แม้ว่าการคมนาคมของญี่ปุ่นจะสะดวกสบาย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆ ลากไปมาระหว่างสถานที่ต่างๆได้สะดวกโยธินตลอดเวลา หลายสถานที่ต้องยกเอา ไม่มีลิฟท์หรือบันไดเลื่อน ถ้ามีก็อาจอยู่ไกล ไม่ทันเวลาที่จะต่อไปขบวนรถไฟอื่นๆ อีกทั้งรถไฟชินคันเซ็นเองก็มีที่ว่างไม่พอที่จะเอาไว้วางกระเป๋าใหญ่ๆซะด้วยสิครับ มีเฉพาะแถวแรกที่ยังพอมีที่ว่างไว้วางแอบๆ แต่ถ้าเจ้าของที่นั่งตรงนั้นเขาเลื่อนเบาะนั่งแบบเอน มันก็จะไปขวางองศาการเอนเบาะนั้น ไม่สะดวกเอามากๆ

สัญลักษณ์บริการแมวดำ(คาบลูก) หรือ Ta-Q-Bin หรือ Yamato transport ที่ส่งของหรือกระเป๋าภายใน/ภายนอกประเทศญี่ปุ่น ด้วยเวลา 1-2 วัน
ก่อนผมเดินทางเพียง 3 วัน ผมไปเจอกับบริการที่คนไทยเราเรียกกันว่า "แมวดำ" ซึ่งเป็นรูปสัญลักษณ์ของบริการขนส่งสิ่งของพัสดุ กระเป๋าเดินทางและอื่นๆ ที่ไม่เกินขนาดตามที่กำหนด ภายในประเทศญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งนอกประเทศโดยบริษัทเอกชนที่มีชื่อว่า Yamato transport หรือคนญี่ปุ่นรู้จักในชื่อ Ta-Q-Bin ซึ่งสามารถส่งได้ภายใน 1 วัน หรือ 2 วันเท่านั้น ราคาก็ไม่แพงครับ กระเป๋าแบบขนาด 26" ราคาขนส่งก็แค่ 1,400 กว่าเยนเท่านั้นเอง! ซึ่งมันก็ประจวบเหมาะกับลักษณะการเดินทางของทริปนี้ของผม โดยไปหลายเมืองข้ามภูมิภาค เอากระเป๋าใหญ่อย่างนี้ 2 ใบลากไปมาในวันที่ต้องเปลี่ยนที่พักไม่ไหวหรอกครับ ซึ่งทำให้ผมทดลองใช้บริการนี้ ปรากฎว่าดีมากๆ ผมใช้บริการแมวดำ 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกผมส่งกระเป๋าจากโรงแรม Toyoko inn ที่เมืองคุรูเมะไปโรงแรมในโอซาก้า และครั้งที่ 2 คือจากโรงแรมในโอซาก้าส่งไปที่โรงแรมในเมืองฮากาตะ แต่ผมให้เวลาถึง 3 วันด้วยกัน ซึ่งก็ส่งไปถึงโรงแรมปลายทางโดยใช้เวลาเดินทางเพียง 1 วันเท่านั้นครับ! ระหว่างนั้นเราก็เอาเสื้อผ้าสิ่งของที่จำเป็นใส่กระเป่าใบเล็กๆติดตัวไปกับเรา ซึ่งทำให้สะดวกและโล่งมากๆ ไม่ต้องพะวงกับกระเป๋าใบใหญ่อันหนักอึ้งอีกต่อไป อันนี้ผมแนะนำอย่างมากๆเลย

วิธีการกรอกข้อมูลในใบ Shipping Label ของ TA-Q-BIN
วิธีการกรอกข้อมูลใน Shipping Label ของ TA-Q-BIN
ขั้นตอนก็ไม่ยากครับ แจ้งกับเจ้าหน้าที่โรงแรมที่เคาน์เตอร์ได้เลย แนะนำว่าควรแจ้งเจ้าหน้าที่ตอนกลางคืน คืนก่อนเช็คเอ้าท์ในวันรุ่งขึ้นครับ เพื่อจะได้เผื่อเวลาไว้กับการสื่อสารและอื่นๆที่อาจจะเกิดขึ้น ทั้งยังเป็นการขอให้ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมเขียนข้อมูลในแบบฟอร์มของแมวดำให้เราอีกด้วย เพราะข้อความทั้งหมดนั้นเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่มีภาษาอังกฤษเลย ทำล่วงหน้าจะได้ป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นได้ตามที่ผมได้แจ้งไปครับ **ย้ำอีกครั้งครับ : แนะนำให้ทางเจ้าหน้าที่โรงแรมกรอกข้อมูลให้นะครับ อย่ากรอกเอง เดี๋ยวจะผิดพลาด ผมเห็นในเว็บเยอะว่ามีการแนะนำวิธีการกรอกเป็นภาษาไทย แต่ถ้าให้คนญี่ปุ่นกรอกให้ก็น่าจะเป็นวิธีที่่ดีที่สุดนะครับ**

เว็บยามาโตะทรานสปอร์ต (ข้อมูลการส่งกระเป๋าจากโรงแรมถึงโรงแรมในญี่ปุ่น) http://www.kuronekoyamato.co.jp/en/tourist/hotel/

แลกเงินเยนที่ไหนเรตดีสุด??

ผมว่าถ้าใครที่ไปต่างประเทศบ่อยๆ คงเคยไปแลกที่คนไทยเรานิยมไปแลกกัน นั่นคือ Super Rich Thailand ไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า หรือสีส้มก็ตาม สำนักงานจะอยู่ที่ถนนราชดำริ ผมเองก็แลกที่นี่บ่อยมากๆ แทบจะเรียกว่าเกือบทุกครั้งก็ว่าได้ แต่แล้ว พอทริปญี่ปุ่นนี้ ผมลอง search ดูว่ามีที่ไหนให้เรตที่ดีกว่า Super Rich บ้าง ปรากฎว่ามีครับ ไปเจอที่นี่ครับ ธนิยะสปิริต ตั้งอยู่ย่าน BTS ศาลาแดง ถนนธนิยะ อยู่เยื้องกับธนิยะพลาซ่าเลย ไปไม่ยาก เป็นอาคารพาณิชย์คูหาเดียว ไม่ใหญ่มาก แต่เรตดีกว่า Super Rich ครับ ถ้าใครอยากลองหรืออยู่ใกล้ๆที่นี่ แนะนำเลยครับ

เพิ่มเติม: ร้าน K79Exchange ที่อยู่: 2063 ถนน สุขุมวิท แขวง บางจาก สุขุมวิท79, กรุงเทพมหานคร 10260 โทรศัพท์: 02 311 3642 เยื้องห้างโลตัสอ่อนนุชครับ เรตดีเหมือนกัน

Coin Locker

Coin locker 2 ขนาด แบบกลาง ค่าฝาก 500 เยน, แบบใหญ่ค่าฝาก 700 เยน

เลือก locker ที่มีลูกกุญแจแขวนอยู่ locker ขนาดนี้ค่าฝาก 500 เยน
เปิดประตู locker แล้วใส่ของได้เลย เสร็จแล้วก็ปิดแล้วหยอดเหรียญตามราคาที่กำหนด ดึงกุญแจออก
บริการล็อกเกอร์เก็บของ, กระเป่าเดินทาง, สัมภาระ ให้เราไม่ต้องแบกหรือลากกระเป๋าเวลาไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยจะมีให้บริการตามสถานีรถไฟ, ท่าเรือเฟอร์รี่, สนามบิน ซึ่งจะมีให้เก็บของตามขนาดต่างๆ 3 ขนาดคือ
1.เล็ก(small)
2.กลาง(medium)
3.ใหญ่(large)
ซึ่งโดยทั่วไปก็จะคิดค่าบริการต่อวันดังนี้ ขนาดเล็ก = 300-400 เยน, ขนาดกลาง = 500 เยน และขนาดใหญ่ = 700 เยน(ราคาขึ้นอยู่แต่ละสถานีด้วยครับ) เวลาไปใช้บริการก็มองหาตู้ล็อคเกอร์ที่มีกุญแจคาอยู่ ให้ลองเปิดจากขนาดเล็กก่อนแล้วลองเอาของเข้าไปเก็บ ลองดูว่าเก็บได้มั้ย ถ้าไม่ได้หรือเวลาปิดประตูแล้วปิดไม่ลง ก็ลองในขนาดที่ใหญ่ขึ้น จนปิดประตูล็อคเกอร์ได้
เมื่อปิดประตูล็อคเกอร์(ให้กดประตูจนแน่น) แล้วหยอดเหรียญสกุลเงินเยนลงไปตามช่อง เหรียญที่ใช้งานได้คือเหรียญ 100 เยนเท่านั้น หยอดเงินลงไปจนครบตามที่ตัวเลขแจ้งไว้(ตัวเลขจะลดลงตามเงินเยนที่เราหยอดลงไปจนเหลือ 0 เยน) พอหยอดจนครบก็บิดกุญแจที่ค้างไว้ที่ตู้ ถ้าจำไม่ผิดให้บิดลูกกุญแจไปทางซ้ายมือทวนเข็มนาฬิกา จนสามารถเอาลูกกุญแจออกมาได้ก็เป็นอันเสร็จ เก็บรักษาลูกกุญแจไว้ให้ดีครับ เวลากลับมาเปิดก็ให้ใส่ลูกกุญแจตามช่องแล้วบิดไปทางขวามือตามเข็มนาฬิกา แล้วเอาสัมภาระสิ่งของออกไป แล้วก็ปิดประตูล็อคเกอร์ให้ด้วย ถือเป็นการเสร็จสิ้นการใช้งาน

วันแรกที่ผมเดินทางถึงญี่ปุ่น ผมไปถึงสถานีรถไฟฮากาตะก็เตรียมหา coin locker ตามที่ตั้งใจจะเก็บกระเป๋าสัมภาระอันหนักอึ้งแล้วค่อยไปเที่ยวต่อ(ที่ไม่ไปเก็บที่พักเพราะอย่างที่บอกไว้ว่า ผมจองที่พักที่อยู่แถวฮากาตะไม่ได้เลย เลยได้ที่พักที่คุรูเมะ ห่างออกไปอีก 40 กว่ากม.เอากระเป๋าไปฝากไม่ได้แน่นอน) หลังจาก validate JR Pass แล้ว เดินไปตามป้ายที่บอก coin locker ปรากฎว่า coin locker เต็มหมดครับ!! อ้าว ดูป้ายมีอีกจุดหนึ่ง ก็เดินไปอีก ก็ปรากฎว่าเต็มเช่นกัน ทำอย่างไรดี พอดีมีร้าน Ta-Q-Bin หรือแมวดำอยู่ใกล้ๆ เลยยืนต่อแถวว่าจะฝากกระเป๋าซะหน่อย ไม่ไรู้รับฝากหรือเปล่า ปรากฎว่ารับฝากครับ โชคดีไป ราคาก็พอๆกับ coin locker ครับ มารับอีกทีตอน 1 ทุ่ม เพราะร้านจะปิด 2 ทุ่ม นี่เป็นอุทธาหรณ์ว่า หน้าเทศกาล coin locker มันเต็มตลอดจริงๆ โดยเฉพาะสถานีรถไฟใหญ่ๆ ใครๆก็อยากมาฝากของไว้ เพื่อไปเที่ยวต่อแบบสบายตัว ฉะนั้นต้องเตรียมแผนดีๆ ครับ สำหรับผมถือว่าโชคดีไปที่มีร้านแมวดำมารับฝากด้วย ไม่งั้นคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะไปเที่ยวศาลเจ้า Dazaifu อย่างไรโดยมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ๆไปด้วย มึนจริงๆ

การเดินทางในญี่ปุ่นนอกจากรถไฟแล้ว แท็กซี่ควรขึ้นมั้ย??

รถแท็กซี่ อีกหนึ่งวิธีการเดินทางใกล้ๆ และมีคนในกลุ่ม 3-4 คนด้วยกัน
หลายคนอาจมีคำถามนี้อยู่ในใจ อย่าไปติดยึดว่าการคมนาคมที่ญี่ปุ่นควรขึ้นรถไฟเท่านั้น หรือรับทราบมาว่ารถแท็กซี่ในญี่ปุ่นแพงมาก ไม่ควรขึ้น ซึ่งข้อมูลพวกนี้จริงบ้าง แต่ควรนำมาพิจารณาดีๆ เช่น ระยะทางสั้นๆ ไม่เกิน 3 กม.และเป็นเส้นทางที่รถไฟไปไม่ถึง ประกอบกับมีหลายคนในทริป เช่นของผม 4 คนด้วยกัน ยังไงซะ การขึ้นแท็กซี่ก็คุ้มมากๆครับ เพราะหารต่อคนแล้วถูกกว่าตั๋วรถไฟบางจุดซะอีก ไม่งั้นถ้าจะหวังพึ่งรถไฟอย่างเดียว มันก็พอไปได้แต่อ้อมมากๆ เสียเวลาเป็นชั่วโมงเลย อันนี้ผมเลยไม่เลือกขึ้นรถไฟ
สำหรับทริปญี่ปุ่นครั้ง ผมขึ้นแท็กซี่ 6 ครั้งด้วยกัน ไม่น่าเชื่อนะครับ เพราะฉะนั้นควรใช้แบบผสมผสาน โดยเงื่อนไขที่ว่ามาดังนี้
1.ระยะทางที่สั้นไม่เกิน 3-4 กม.
2.มีคนในทริป 3-4 คนขึ้นไป
3.เส้นทางดังกล่าวไม่มีรถไฟผ่านเลย ถึงจะมีก็ต้องใช้เวลาในการต่อรถไฟนานมากๆ
4.เวลาเป็นเรื่องสำคัญ พลาดขบวนรถไฟขบวนที่จะไปขึ้นนั้นไม่ได้
5.เวลาเช้ามืดเกิน ระบบขนส่งมวลชนยังไม่เปิดใช้บริการ
ถ้ามีเงื่อนไขอย่างข้างบนนี้ก็ใช้บริการแท็กซี่ไปเถอะครับ หารมาต่อคนแล้ว ประมาณ 300 เยนแค่นั้นเอง ส่วนราคาเริ่มต้นก็มีทั้ง 640 เยน ที่คูรูเมะ และเริ่มต้น 550 เยนที่ฮากาตะ

Pocket WiFi มีประโยชน์มากมั้ย?? จำเป็นหรือไม่??

ขอตอบเลยว่า จำเป็นนะครับ ถ้าไม่ใช่ประเทศญี่ปุ่นอาจไม่จำเป็นก็ได้ แต่นี่ประเทศญี่ปุ่นครับ อะไรพอช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่ต้องไปถามคนญี่ปุ่นมากนักพอมองว่าจำเป็นหมด ซึ่งความจำเป็นของผมนั้นไม่ได้หมายถึงการเล่นเฟสบุคเพื่อโพสต์รูปที่เราถ่ายจากมือถือให้ให้ขึ้นเฟสบุคเลยนะครับ อันนั้นมันไม่จำเป็นเท่าไหร่หรอก ส่วนที่ผมว่าจำเป็นคือเรื่องสถานที่การเดินทาง การใช้ Google map ไปพร้อมกับการนั่งรถไฟหรือรถบัสไปด้วย เพื่อจะดูว่าเราถึงที่ไหนแล้ว อันนี้จำเป็นมากๆ เพราะลำพังไปหวังกับป้ายของรถไฟหรือรถบัสมันอาจไม่มีภาษาอังกฤษให้ดูนะครับ คราวนี้จะงงกันมากๆว่าถึงไหนกันแล้ว สู้ดูที่ google map ภาษาอังกฤษไม่ได้กรอกครับ และที่สำคัญอีกเรื่องคือ การเช็คเว็บ hypedia.com หรือเว็บอื่นๆ เวลาถ้าเราจะหาข้อมูลในเวลานั้นๆว่าขบวนรถไฟที่เราต้องการนั่งไปลงที่นี่มีขบวนใดบ้าง มากี่โมง ขึ้นที่ชานชลาไหน อันนี้เราไม่ต้องไปถามใครเลย(ถึงถามใครก็ไม่มีคนตอบคุณหรอก 555) เพียงเข้าเว็บก็รู้เลยครับ เพราะบางทีหรือหลายๆครั้งเราขึ้นรถไฟไม่ได้ตรงกับเวลาที่เราพิมพ์มาล่วงหน้า อันนี้เราก็ต้องใช้เว็บให้หาข้อมูลแบบ online ณ เวลานั้นๆเลย
แถมอีกนิดครับ ถ้ามีสมาร์ทโฟนก็สามารถใช้ได้ แต่ถ้ามีพวก Galaxy tab หรือ iPad ผมว่ามันจะโอมากๆในการหาข้อมูลครับ เพราะขนาดจอใหญ่พอดี อ่านชัดเจน พอดีก่อนไปญี่ปุ่นผมซื้อ Galaxy note 10.1 มา จริงๆก็เพื่อมาใช้พวกนี้หล่ะครับ ปรากฎว่าใช้งานได้ดีตามที่คาดไว้จริงๆครับ ทั้งเรื่องแผนที่ตอนเรานั่งรถไฟไป เราสามารถดูได้เลยว่าถึงไหนแล้ว อีกกี่สถานีจะถึงสถานีที่เราจะลง เรื่องขบวนรถไฟต่างๆ ณ ตอนนั้นมีขบวนไหนบ้างก็สามารถกด search ดูได้เลย และอื่นๆอีกมากมายครับ

Prepaid 4G LTE Japan Sim 7 days
เพิ่มเติม: Prepaid 4G LTE Japan Sim ใช้ได้ 7 วันพอดีเลย ข้อมูลก็ 200 MB/วัน ถ้าใช้เกินก็ยังใช้ได้แต่ความเร็วลดลงเหลือ 384 kbps ซึ่งก็เหมือนๆแพ็คเกจในบ้านเรา ดูจากในเว็บไซท์เห็นว่าออฟฟิศอยู่ใกล้บ้าน เลยขับรถไปซื้อถึงออฟฟิศเลยครับ ราคา 800 บาท บริการดีนะครับ แต่ประสิทธิภาพเป็นอย่างไรต้องติดตามกันต่อไปครับ

ปลั๊กไฟควรเตรียมไปอย่างไรดี??

เนื่องจากต้องไปอยู่ญี่ปุ่นถึง 8 คืนด้วยกัน อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น กล้อง DSLR, มือถือ, Galaxy Note 10.1, และใน 1 ห้องก็มีอุปกรณ์แบบนี้อยู่ 2 คนด้วยกัน ดังนั้นเราจึงตกลงที่จะเอาปลั๊กไฟแบบพ่วงจากไทยไปซะเลย จะได้ชาร์จไฟทีหลายอุปกรณ์ด้วยกัน ดังภาพด้านล่างครับ ส่วนใครไม่มีอุปกรณ์เยอะ ก็แค่ที่ชาร์จไฟปกติครับ แต่ต้องเป้นปลั๊กแบบหัวแบนนะครับ หัวกลมใช้ไม่ได้ต้องมี adapter

พาสต่างๆที่คิดว่าควรต้องใช้เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย(นอกเหนือจาก JR Pass)
1.Fukuoka Tourist City Pass(1 day)
  1. Fukuoka City (ไม่สามารถใช้กับรถไฟ Nishitetsu ได้) ราคาผู้ใหญ่ 820 เยน
  2. Fukuoka City + Dazaifu  ราคา 1,340 เยน 
Fukuoka City + Dazaifu pass
บริการขนส่งที่สามารถใช้งานได้เมื่อซ์้อพาสแบบที่ 2 Fukuoka City + Dazaifu
แบบที่ 2 นี้เหมาะสำหรับคนที่ต้องการไปเที่ยวศาลเจ้า Dazaifu เพราะพาสนี้สามารถใช้รถไฟเอกชน Nishitetsu ที่ไป Dazaifu ได้ด้วย + สามารถใช้รถไฟใต้ดินของเมืองฮากาตะ + ใช้บริการรถบัสของ Nishitetsu และอื่นๆ ตามที่แสดงในรูปด้านบน (ที่ขายพาสอยู่ที่เคาน์เตอร์บริษัท Nishitetsu Fukuoka Airport Bus Terminals เทอร์มินอลสนามบินฟูกุโอกะฝั่งภายในประเทศ)

2.Kumamoto StreetCar pass (1 Day) ราคาผู้ใหญ่ 500 เยน

ครึ่งบน(ตัวบัตรด้านนอก) ครึ่งล่าง(ตัวบัตรด้านในพร้อมขูดวันเดือนปีที่ใช้ด้วย) 
เป็นพาสที่เอาไว้ใช้ขึ้นรถราง(streetCar) ในเมืองคุมาโมโตะ พร้อมกับเป็นส่วนลดในการเข้าชมปราสาทคุมาโมโตะอีก 100 เยน จากราคาเข้าปกติคนละ 500 เยน ซึ่งผมจะใช้ขึ้นรถราง 3 ครั้ง และเข้าปราสาทอยู่แล้ว โดยค่าโดยสารรถรางถ้าไม่ซื้อพาสก็ครั้งละ 150 เยน ขึ้น 3 ครั้งก็ 450 เยน เกือบจะเท่าพาสอยู่แล้ว เหลือเพียง 50 เยน แต่ผมเข้าปราสาทด้วย ซึ่งลดไป 100 เยน สรุปคือได้กำไรมา 50 เยน อิอิ

3. "My Beppu free" (1 day busses pass) ราคาผู้ใหญ่ 900 เยน
พาสนี้เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่แพลนจะเที่ยวบ่อน้ำพุร้อนที่มีทั้งหมด 8 บ่อจนครบ เพราะต้องขึ้นรถบัสเดินทางหลายครั้งอยู่ มี 6 บ่ออยู่ละแวกเดียวกัน ส่วนอีก 2 บ่ออยู่ห่างออกไป 2.3 กม. แต่สำหรับผมนั้น ทริปนี้ไปแค่เพียง 1 บ่อเท่านั้น เพราะเวลาไม่อำนวย ผมอยากเอาเวลาไปใช้ที่ยูฟูอินมากกว่า เลยไม่ได้ซื้อพาสนี้ครับ แต่ถ้าจะไปจนครบ 8 บ่ออยู่แล้วควรซื้อและยังมีส่วนลดในการเข้าชมบ่อน้ำพุร้อนอีกด้วย
เว็บที่เกี่ยวข้อง http://www.visit-oita.jp/oita_introduction/welcomeOita04.e.html

4. 1-Day trip card for street car Hiroshima ราคาผู้ใหญ่ 600 เยน
เป็นการ์ดที่ใช้ขึ้นรถราง(Street car) ในตัวเมืองฮิโรชิม่า ไว้นั่งไปชมสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เช่น Atomic bomb, อนุสาวรีย์สันติภาพ, ปราสาทฮิโรชิม่า ตอนแรกผมก็วางแผนจะซื้อแหล่ะครับ แต่พอเอาเข้าจริง ไปถึงฮิโรชิมาเกือบ 4 โมงเย็นแล้ว บวกกับเข้าไปสอบถามที่ information center ได้รับคำแนะนำที่ดีว่าเมืองฮิโรชิม่าเล็ก สามารถเดินได้ ไม่ต้องซื้อพาสหรอก แล้วผมก็มาถึงเย็นด้วย ไม่คุ้ม ดีครับที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ขายอย่างเดียว ไม่คุ้มก็แนะนำเราไม่ให้ซื้อ ตกลงก็ไม่ได้ซื้อครับ ผมขึ้นรถรางแบบจ่ายเงินแต่ละครั้งแค่นั้นเอง
เว็บรถราง ฮิโรชิม่า http://www.hiroden.co.jp/en/s-routemap.html

5.Nara bus 1-Day pass ราคาผู้ใหญ่ 500 เยน

ด้านซ้าย(หน้าบัตร) ด้านขวา(หลังบัตร)
พาสนี้เป็นพาสสำหรับขึ้นรถบัส ยังไงก็ต้องซื้อครับ ถ้าท่านมานาราแล้วเที่ยว 3 วัด/ศาลเจ้าอันโด่งดัง(วัด Kofukuji, วัด Todaiji และ ศาลเจ้า Kasuga Taisha) เป็นอย่างต่ำ โดยเราสามารถซื้อได้จาก information center ที่อยู่ชั้นล่างใกล้ๆสถานี JR Nara แล้วรอรถบัสที่ป้ายที่อยู่ใกล้ๆกันได้เลย
เว็บนารา ค็อตสุบัส http://www.narakotsu.co.jp/language/en/free-ticket/index.html

6.Kyoto City Bus One day pass ราคาผู้ใหญ่ 500 เยน

ด้านซ้าย(หน้าบัตร) ด้านขวา(หลังบัตร)
พาสนี้ใช้ขึ้นรถบัสในเมืองเกียวโต ซึ่งแต่ละสถานที่ท่องเที่ยวเช่นวัดต่างๆ จะอยู่ห่างกันมากครับ ยังไงๆต้องใช้รถบัสในการเดินทางในเกียวโต รถไฟ JR แทบไม่ค่อยได้ช่วยเลย แต่พึงระลึกว่า ในเกียวโตรถติดมากๆ แถมในรถบัสคนก็เยอะมากๆด้วย เรียกได้ว่ายืนอัดปลากระป๋องในรถบัสเหมือนกันกับในรถเมล์เมืองไทยยังไงยังงั้นเลยครับ มีขายที่ ticket bus center ด้านขวาของสถานีรถไฟ JR เกียวโต
เว็บข้อมูลรถบัสในเกียวโต http://www.city.kyoto.jp/koho/eng/access/transport.html
เว็บวางแผนการเดินทางโดยรถบัสและรถไฟใต้ดินในเกียวโต  http://www.arukumachikyoto.jp/index.php?lang=en

7.Retro Bus 2-Day pass รอบทะเลสาบคาวากูจิโกะ ราคาผู้ใหญ่ 1,200 เยน
ตอนแรกผมคิดว่ามี 1-Day pass ราคา 1,000 เยน แต่พอไปถึงที่นั่น เข้าไปสอบถามเจ้าหน้าที่ผู้หญิงเขาตอบไม่ค่อยดีนะครับคนนี้ เขาทำเป็นงงที่ผมบอกว่า 1 day pass ซึ่งถ้าไม่มีก็น่าจะตอบว่าไม่มี มีแต่ 2 day pass แต่นี่ทำเป็นทวนที่ผมถามไป แล้วทำหน้าแบบเบื่อๆ และแนะนำให้ผมจ่ายเงินแบบครั้งๆไป หรือเดินไปแต่ละสถานที่ ซึ่งความรู้สึกผมที่เจอกับเจ้าหน้าที่ขายพาสมาทั้งหมด ป้าคนนี้แย่มากครับ สุดท้ายผมก็ซื้อพาสแบบ 2 วันมา ราคา 1,200 เยน ทำไมมันราคาขึ้นเนี่ย งงเหมือนกัน ทำไมข้อมูลมันไม่เหมือนที่เคยหามา แต่สุดท้ายพาสนี้ก็ใช้ไม่คุ้มครับ เพราะการบริการของรถบัสที่นี้น้อยมากๆ รอแล้วรออีกก็ยังไม่มา จนมันจะมืดแล้ว เลยไปได้ไม่กี่สถานที่เองรอบๆทะเลสาบคาวากูจิโกะ ถือว่าเป็นพาสอันแรกที่ใช้ไม่คุ้มครับ ส่วนถ้าใครมีเวลาเยอะๆ 1 วันเต็มๆ หรือ 2 วันก็ซื้อไปเถอะครับ คุ้มอยู่แล้ว
เว็บแผนที่เส้นทาง Retro bus รอบทะเลสาบคาวากูจิโกะ http://transportation.fujikyu.co.jp/english/gettingaround/pdf/r_kawaguchiko_lake.pdf

8.Keisei Skyliner round trip ticket & Tokyo Subway 3-Day Ticket ราคาผู้ใหญ่ 5,400 เยน เพิ่มเติม

ด้วยรถไฟของ Keisei Skyliner ที่สนามบินนาริตะ ตอนที่ไปมีโปรโมชั่น ตั๋วไปกลับสนามบินนาริตะ-อูเอโนะ + 3 days pass Tokyo Metro & Toei subway ราคา 5,400 เยน ผมว่าคุ้มนะ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการเดินทางของแต่ละคนครับ

9.PASMO card บัตรชำระเงินแบบอิเล็คโทรนิกส์ สะดวกมากๆ คล้ายบัตร Octopus ที่ใช้ในฮ่องกง เพิ่มเติม


เพื่อง่ายในการซื้อตั๋วหรือผ่านรถไฟใต้ดินและ JR หรือรถไฟอื่นๆ ให้ซื้อบัตรเงินสด หรือเรียกว่า IC card ครับ จะ PASMO หรือ Suica ก็แล้วแต่ชอบครับ จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาซื้อที่เครื่องและคอยดูว่าราคาเท่าไหร่ในแต่ละครั้งบ่อยๆ
มีมาให้เลือกว่าราคาเท่าไหร่ 1000, 2000, 3000 เยน ผมกดไป 3000 เยนครับ จะโดนหักไป 500 เยนค่ามัดจำก่อน คงเหลือมูลค่าในบัตร 2500 เยน แต่จะได้คืนเมือนำบัตรมาคืนครับ

ถ้าเตรียมพร้อมกันแล้ว ก็ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับเราในตอน 1 ภาคแรก หรือ ตอน 1 ภาค 2 กันเลยครับ
ภาค 1 ญี่ปุ่น เมื่อยามใบไม้เปลี่ยนสี ตอน 1 บินไปประเทศญี่ปุ่นครั้งแรก ณ เมืองฟุกุโอกะ เกาะคิวชู, ทานราเมง เดินทางไปศาลเจ้าดาไซฟุ DAZAIFU ชิมโมจิไส้ถั่วแดง ตบท้ายด้วยกาแฟสตาร์บัคส์ดีไซน์เก๋ๆ

ภาค 2 ตะลุยเดี่ยว เที่ยวโตเกียว ตอน 1 บินลัดฟ้าไปหาอากาศหนาว สู่มหานครที่ใหญ่ที่สุดในโลก "โตเกียว"


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

2 ความคิดเห็น: