วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2557

เมื่อผมพบว่า ตัวเองเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด/โรคหลังแข็ง หรือ ภาษาทางการแพทย์เรียกว่า Ankylosing Spondylitis เรียกย่อๆ ว่า AS

สวัสดีครับทุกท่าน
ครั้งนี้มาเขียนบทความที่ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวกันบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวผมมาก เพราะมันจะอยู่กับผมตลอดไป นับจากได้ทราบว่าเป็นโรคนี้จากการวินิจฉัยโดยแพทย์เฉพาะทาง เมื่อช่วงเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นย้อนหลังไปเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม 2556 ปีที่แล้วนั่นเอง ผมจำได้แม่นว่าเกิดขึ้นในวันพุธที่ 7 สิงหาคม 2556 ผมเริ่มปวดก้นทางขวา ปวดเข้าไปในกระดูกข้างใน ไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร ตอนแรกคิดว่าตัวเองเวลานั่งดูโทรทัศน์ที่โซฟา นั่งท่าที่ไม่เหมาะสม กึ่งนั่งกึ่งนอน เลยทำให้ปวดก้น จึงทานยาแก้ปวดธรรมดาคือ ยาพาราเซตามอล ทั่วๆไปนั่นเอง แต่แล้วมันก็ไม่หายครับ ยิ่งค่อยๆเพิ่มความปวดขึ้นทีละน้อย จนเวลาเดินไปไหนต้องเดินกระเผก จนทำให้เพื่อนร่วมงานมีทักบ้างเหมือนกันว่าเราเป็นอะไร

ผมเลยไปหาหมอโรคกระดูกที่โรงพยาบาลใกล้บ้านแถวๆบางนา-ตราด กม.3 ในวันอาทิตย์ที่ 11 สิงหาคม 2556 ซึ่งหมอท่านก็ดี พยายามกดเพื่อหาตำแหน่งว่าเจ็บตรงไหน จะได้วินิจฉัยถูก แต่แล้วก็ไม่พบ และไม่ได้ข้อสรุปอะไร ได้เพียงยาทานแก้ปวดกลับมา แต่แล้ววันรุ่งขึ้นคือวันที่ 12 สิงหาคม 2556 ซึ่งเป็นวันแม่ ผมและจ๊ะเอ๋ได้ไปทานอาหารเนื่องในวันแม่ที่ร้านอาหารโรงแรมดุสิตธานี ณ ค่ำวันนั้น ผมจำได้ดี ผมเริ่มปวดก้นด้านขวาเอามากๆ เดินขึ้นบันได้แล้วลงบันได้ไม่ได้ ต้องเดินถัดๆไปด้วยความยากลำบาก จนสุดท้ายก็กลับมาที่บ้านจ๊ะเอ๋ พักที่นี่คืนนี้

ผลของอาการปวดนั้นค่อยๆ เพิ่มเรื่อยๆ จนตอนช่วงตี 2-3 ผมรู้สึกปวดปัสสาวะ แต่ขอโทษ ผมไม่สามารถลุกจากเตียงและเดินไปที่ห้องน้ำที่อยู่ภายในห้องนอนเพียง 1 เมตรหน่อยๆได้ เพราะขยับก้าวขาทีไรมันปวดเอามากๆ ปวดแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน จนต้องเรียกจ๊ะเอ๋ให้ช่วยพยุงพาไป คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับแล้ว ทำยังไงดี รุ่งขึ้นต้องไปทำงานด้วยสิ

พอถึงตอนเช้า ผมกลั้นใจลุกขึ้นแล้วอาบน้ำแต่งตัวเพื่อจะไปทำงานที่สระบุรี แต่ดีที่จ๊ะเอ๋เขาเห็นว่าน่าจะขับรถไม่ไหวเลยลาขับรถไปส่งผมที่ที่ทำงาน สระบุรีให้ วันนี้ก็อาการทรงๆ ความปวดยังไม่หาย ทำแค่ทานยาพาราเท่านั้น พอไปทำงานหลังจากหยุดยาว 3 วัน ตอนเย็นก็กลับมาที่กรุงเทพต่อ ณ คืนวันนี้ เริ่มปวดเอามากๆ จนผมพลิกตัวไม่ได้ขณะนอนบนเตียง ทรมานอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน ในใจคิดว่าเราเป็นอะไรกันแน่ จะทนไม่ไหวแล้ว พรุ่งนี้คงไม่ไปทำงานคงลาและไปหาหมออีกครั้ง ตรวจละเอียดกันไปเลยว่าเป็นอะไรเกี่ยวกับกระดูก


 
วันพุธที่ 14 สิงหาคม 2556 เช้านี้ผมลุกแบบมีจ๊ะเอ๋พยุงตัว ต้องใช้ไม้เท้าเป็นครั้งแรก ค่อยๆเดินถัดไปทีละน้อย จ๊ะเอ๋ลางานช่วยขับรถพาไปหาหมอที่รพ.เดิม วันนี้เป็นวันแรกอีกเหมือนกันที่ผมต้องนั่งรถเข็น
เข้าไปหาคุณหมอเชี่ยวชาญโรกกระดูกด้วยนะ พอคุยกับคุณหมอครั้งแรก ท่านบอกเลยว่าน่าจะเป็นหมอนรองกระดูกเคลื่อน เอาโครงสร้างกระดูกสันหลังที่สอนนักเรียนแพทย์มาให้ดูและอธิบาย ซึ่งทำให้ผมทึ่งเอามากๆ ท่านเก่งจริงๆ ขนาดคุยกันแป๊บเดียวก็รู้แล้ว เราโชคดีมากๆ โดยหมอบอกว่า ถ้าปวดมากแล้วผ่าตัดเร็วก็จะหาย แกยกตัวอย่างคนไข้ผู้หญิงรายก่อนว่า นอนเตียงร้องไห้มาเลย พอสุดท้ายผ่าแล้วก็หาย ไม่ปวดอีกเลย เราก็ใจชื้นอยากหายเร็วๆ


คุณหมอท่านให้เรา X-Ray แบบฟิล์มปกติก่อน ถ้ายังไม่เจออะไรก็ค่อยไป X-Ray แบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือ MRI ที่ศูนย์ประชาชื่น สาขาบางนา ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก บางนา กม.4  ผมเข้า X-Ray ฟิล์มปกติก่อนที่ห้อง X-Ray รอฟังผม ปรากฎว่าไม่เห็นอะไร เลยขอ MRI ที่ศูนย์ประชาชื่นช่วงเที่ยง ศูนย์เขาดีครับ มีรถตู้มารับที่รพ.เลย แล้วก็รอเข้าห้อง MRI ตอนนั้นปวดก้นเอามากๆ ถอดกางเกงทีร้าวไปหมด ขยับไม่ค่อยจะได้ ทรมานมากๆ ถึงเวลาก็เข้าไปนอนนิ่งๆ ประมาณ 30-45 นาที แปลกดีครับ ครั้งแรกที่เข้า MRI คล้ายๆอุโมงค์ มีเสียงแว้งๆๆ ตลอดเวลาขณะที่นอนอยู่ (ค่า MRI 8,000 บาท จ่ายเลย)สุดท้ายก็ผ่านไป กลับไปที่รพ.เดิมแล้วเอาผลฟิล์มที่เป็น CD กลับมาด้วย เอาไปให้คุณหมอท่านเดิมแปลผล ซึ่งปรากฎว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ!!! หมอนรองกระดูกไม่เคลื่อน แต่หมอแกก็ไหลไปเรื่อยนะ ทำนองว่า โพรงกระดูกสันหลังผมแคบไป ไม่ดี บลาๆๆๆๆๆ สุดท้ายไม่ต้องผ่าตัดอะไร ให้เพียงยาแก้ปวดปกติมาเท่านั้น ซึ่งทำให้ผมผิดหวังอีกแล้ว เพราะมันยังไม่ทราบสาเหตุของอาการปวดที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ผมและจ๊ะเอ๋ก็กลับบ้านกันอย่างผิดหวังครับ จนคืนที่ 2 คือคืนวันที่ 15 สิงหาคม 2556 ผมทนไม่ไหวแล้ว ลุกจากเตียงนอนไม่ได้ ไปปัสสาวะไม่ได้ ต้องเอาแก้วมารอง เรียกได้ว่า น้องๆอัมพาตเลยครับ แต่มันยังปวดก้นปวดหลังไปหมด ซึ่งช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ผมต้องมีบินไป Present งานที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ด้วย เครียดมากๆ กลัวจะหายไม่ทัน!!

คืนวันนี้เราช่วยกัน Search หาคุณหมอที่เก่งๆทางด้านกระดูกสันหลัง ทางอินเตอร์เน็ต จ๊ะเอ๋ไปเจอคุณหมอท่านหนึ่งที่เคยออกโทรทัศน์รายการทไวท์ไลท์โชว์เรื่องผ่าหลังโดยการส่องกล้องรูเล็ก แผลหายไว พักฟื้นเร็ว แต่ค่าใช้จ่ายสูงถึงแผลละ 150,000 บาท ซึ่งผมก็เอา เพราะทนปวดไม่ไหวครับ จ๊ะเอ๋โทรติดต่อรพ.พญาไท 1 ซึ่งเป็นรพ.ที่คุณหมอท่านนั้นเข้าตรวจประจำ ขอทำบัตรผู้ป่วยล่วงหน้าประมาณเวลา 21.00 น. เพราะกลัวว่าถ้าไปเลยพรุ่งนี้เช้าจะต้องมาเสียเวลาทำบัตรผู้ป่วยใหม่ ไม่ได้ตรวจเลย ซึ่งเราก็แก้ปัญหาตรงจุดนี้ไป และไม่ลืมที่จะไปขอรับฟิล์ม X-Ray ทั้งฟิล์มปกติและแผ่น CD ของฟิล์ม MRI จากรพ.เดิมไปด้วย เพราะต้องนำไปให้คุณหมอท่านดูจะได้วินิจฉัยได้เลย

เช้าวันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม 2556 ผมตื่นเช้าตรู่ แต่ระหว่างคืนนั้นปวดหลังและกระดูกมากๆ ขยับก็ไม่ได้ ทรมานมาก เช้านี้แข็งใจค่อยๆเดินไปนั่งที่รถ ให้จ๊ะเอ๋ขับไปเหมือนเดิม เชื่อมั้ยครับ ขนาดเดินไปนั่งที่รถยังลำบากเลย การเคลื่อนตัวทั้งหมดลำบากและเจ็บปวดมากๆ จนสุดท้ายไปถึงที่รพ.พญาไท 1 อันดับแรกคือขอรถเข็นแล้วนั่งไปหาคุณหมอท่านที่หาเจอในอินเตอร์เน็ต ท่านอยู่แผนกเกี่ยวกับศัลยกรรมไขประสาทกระดูกสันหลัง ได้คิวที่ 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ คุณหมอให้เดินซึ่งผมบอกเดินไม่ได้ ก็นั่งรถเข็นแทน คุณหมอดูฟิล์มทั้งแบบปกติและ MRI โดยดูอย่างถี่ถ้วน ก็บอกกับเรามาว่า ผมไม่เป็นอะไร "หมอดูจากฟิล์มแล้วกระดูกสันหลังเราปกติ ไม่ได้เป็นอะไร แต่เรื่องที่ปวดก้นและหลังหมอไม่เชี่ยวชาญ ให้ไปพบคุณหมอแผนกกระดูกที่ชั้นล่างวินิจฉัยต่อไป"

ผมนึกในใจ อีกแล้วเหรอเนี่ย ยังหาสาเหตุการปวดไม่ได้ จะตายอยู่แล้ว แต่สุดท้ายก็ทำตามคำแนะนำคุณหมอ โดยลงไปหาคุณหมอที่แผนกกระดูก(ออร์โธปิดิกส์) ระหว่างที่อยู่ในลิฟท์(นั่งรถเข็น) เราก็ถามผู้ช่วยพยาบาลผู้ชายที่มีหน้าที่เข็นรถเข็นผู้ป่วยของผม ว่ามีหมอที่แนะนำมั้ย ผู้ช่วยพยาบาลก็บอกวับเราว่า "คุณหมอเก่งทุกคนครับ แต่มีท่านหนึ่งที่เคยรักษาผม แล้วรู้สึกว่าท่านใจดีเป็นกันเอง คุณหมอท่านั้นคือคุณหมอจตุพร ปรารถนาดี" เราไม่ลังเลที่จะขอตรวจกับคุณหมอท่านนี้ ซึ่งก็เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเอามากๆ

เรารอคิวที่จะตรวจอยู่ชั้น 2 ของอาคารใหม่ แผนกกระดูก คุณหมออ่านฟิล์มและยกขาขวาผมขึ้นพร้อมกับขยับขา คือบิดไปทางซ้ายและทางขวา ผมนี้ปวดมากๆ แต่คุณหมอก็บอกว่าไม่ต้องกลัว ท่านจะลองทดสอบอะไรบางอย่าง ท่านสงสัยเรื่องข้อสะโพก ของผมอาจข้อสะโพกผิดปกติ อาจต้องใส่ข้อสะโพกเทียม หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่คุณหมอบอกว่า ฟิล์ม MRI นั้น มันมองไม่เห็น เพราะสแกนมาแค่ถึงท้อง ไม่ได้ลงไปที่สะโพก ดังนั้น หมอขอทำ MRI อีกครั้ง โดยขอทำลงไปถึงสะโพกเลยจะได้เห็นว่าเป็นอะไรกันแน่ ผมตอบแบบไม่ลังเลว่า โอเคเลยครับ อยากให้สแกนเพิ่มอยู่แล้ว เพราะของเดิมเหมือนหมอท่านนั้นจะปักใจว่าผมเป็นหมอนรองกระดูกอักเสบ เลยไม่ได้ทำ MRI ลงไปถึงสะโพก และผมก็บอกคุณหมอว่า ผมขอแอดมิดเลยนะครับ เพราะกลับบ้านไปก็ปวดเหมือนเดิม อยู่ใกล้หมอจะได้จัดยาได้ถูก

 

วันนั้น ผมเลยได้แอดมิดและขึ้นไปพักที่ห้องผู้ป่วยด้านบน ตอนที่ย้ายผมจากเตียงที่เคลื่อนที่มาเตียงปกติภายในห้อง เรียกได้ว่า มีคนมาช่วยย้ายผมถึง 4 คนด้วยกัน เพราะเวลาขยับตัวผมปวดไปหมด แต่ด้วยความที่พนักงานและพยาบาลรพ.นี้เขาเอาใจใส่ เลยทำให้ผมไม่ค่อยรู้สึกปวดเท่าใดนัก ต้องขอบคุณมากๆ หลังจากนั้น พยาบาลก็ให้ผมทานยาแก้ปวดและฉีดยาแก้ปวดเข้าเส้นด้วย เรียกได้ว่า ได้โดสยาแก้ปวดแบบจัดเต็มทั้งทานและฉีดเข้าเส้น ไม่หายปวดให้มันรู้ไป!

 
พอผ่านมาได้ประมาณ 1 ชม. ผมรู้สึกตึงๆที่ก้น คล้ายๆกับหายไปปวดไปชั่วขณะ ซึ่งยาออกฤทธิ์ได้ผลดีมากๆ และไม่นานผมก็โดนพาไปห้อง MRI ที่อยู่ชั้นล่างของรพ. ค่า MRI ช่วงที่ผมไปมีโปรโมชั่นพอดี ราคาเลยเหลือ 8,000 บาทเท่านั้น ซึ่งก็นับว่าเป็นโชคดีของเราอีกครั้ง MRI ครั้งนี้ดูจะนานกว่าครั้งแรกครับ เข้าไปเกือบ 2 ชั่วโมงก็ว่าได้ เพราะครั้งแรกเหมือนจะยังไม่เห็นอะไร เลยต้องฉีดสีเข้าเส้นเพื่อดูอีกครั้ง ระหว่างที่ลุกและยืนผมปวดมากๆครับ ปวดเส้นเอ็นด้วย แต่ก็ต้องทนปวดเอา หวังว่าคงจะรู้ผลในไม่ช้า


ผล MRI ทราบตอนเย็นของวันนั้นเลย แต่คุณหมอติดภาระกิจไม่สามารถมาแจ้งผลกับผมได้ แต่ท่านก็ฝากพยาบาลมาบอกว่า ตกลงไม่ใช่เรื่องข้อสะโพก เราก็ไม่รู้หรอกว่าอะไร จนผ่านไปอีกวัน คือวันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม 2556 ของช่วงสาย คุณหมอจตุพรได้เข้ามาตรวจผมที่เตียงพร้อมกับให้ผมและจ๊ะเอ๋ดูฟิล์มที่ถ่ายจากมือถือซัมซุงของท่าน ท่านถ่ายมา 3-4 รูป โดยบอกกับเราว่า ดูตรงรูปนี้ กระดูกเชิงกรานเราฝั่งซ้ายและขวา ดูฝั่งซ้ายนะ เป็นสีดำๆ ปกติ แต่ฝั่งขวา(ที่ผมปวดมากๆ) จะเห็นว่ามีสีขาวๆ นั่นแปลว่ามันอักเสบ ซึ่งทั้งซ้ายและขวาของกระดูกเชิงกรานผมมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเลยถามคุณหมอจตุพรต่อว่า แล้วตกลงมันมาจากสาเหตุอะไร คุณหมอบอกว่า "เคยได้ยินโรคพุ่มพวงมั้ย?? โรคนี้เรียกย่อๆว่า AS เป็นโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อต้านเนื้อเยื่อตัวเอง คล้ายๆโรคพุ่มพวง หรือ SLE โดยเฉพาะเนื้อเยื่อที่ต่อกับกระดูก ไม่ว่าจะเป็น หัวเข่า กระดูกเชิงกราน และจนไปถึงกระดูกสันหลัง  ทำให้เราเห็นเนื้อเยื่อที่อยู่ใกล้กระดูกเชิงกรานด้านขวาเราอักเสบ จากการต่อต้านนั่นเอง" โดยคุณหมอได้เพิ่มอีกว่า "โรคนี้จะเป็นกับผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เป็นถึง 5% ของประชากรและมักจะเป็นกับผู้ชายในช่วงอายุ 30-40 ปี โดยสาเหตุหลักมาจากพันธุกรรม ถ้าไม่รักษา หรือรู้ตัวช้า อาจทำให้หลังโค้งงอเพราะอยู่กับท่าเดิมๆตลอด และเวลาหันต้องหันทั้งตัว เพราะพังผืดจะไปจับที่หมอนรองกระดูกจนมันไม่ยืดหยุ่นอีกต่อไป โดยจะลามไปจนถึงกระดูกต้นคอเลย เพราะถือว่าเป็นปลายสุดของกระดูกสันหลัง" โดยต่อไปถ้าอาการดีขึ้นคุณหมอจะโอนเคสไปที่หมออายุรกรรมเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ซึ่งคุณหมอจตุพรบอกว่า ท่านเป็นหมอผ่าตัด ไม่ได้รับตรงเคสนี้

คุณหมอกนกรัตน์ แพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางอายุรกรรมโรคภูมิต่อต้านตัวเองกำลังวินิจฉัยผลฟิล์ม
ทุกอย่างเลยได้ถูกเฉลย และผมได้รับคำตอบถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับผมว่ามันมีสาเหตุมาจากอะไร โดยผมนับว่าโชคดีมากๆ ที่อย่างน้อยก็ได้มาเจอกับคุณหมอท่านนี้ที่สามารถรู้ถึงโรคที่ผมเป็น เพราะหมอท่านอื่นจากรพ.เดิมก็ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร

ผมนอนรักษาตัวอยู่อีก 2 คืน ได้ออกจากรพ.ตอนเย็นวันที่ 19 สิงหาคม 2556 (ค่าใช้จ่ายทั้งหมด 49,xxx บาท) ซึ่งหวังว่าจะหายทันไป Present งานที่สวิส แต่สุดท้ายก็หายไม่ทันครับ เพราะผมต้องนอนๆ นั่งๆ อยู่ที่บ้านถึง 1 เดือนครึ่ง กว่าจะกลับไปทำงานได้วันแรกก็วันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2556 เกือบจะโดนบริษัทไล่ออกจากงานแล้วครับ

ทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็เป็นการเฉลยในสิง่ที่ผมสงสัยมาตลอดเวลาว่า ครั้งที่ผมไปปีนเขาที่โกตา คินาบาลู, ไปภูสอยดาว และล่าสุด เทร็คกิ้งที่พูนฮิลล์ เนปาล ทำไมผมปวดเข่าและขาเอามากๆ ที่ไหนได้ ผมเป็นโรคกระดูกสันหลังอักเสบติดยึด หรือ AS นั่นเอง !
ณ วันที่เขียนบทความนี้ ครบรอบ 1 ปี ผมก็ยังมีอาการปวดก้นแต่ครั้งนี้ย้ายไปด้านซ้าย ก็ต้องทานยากันไป อยู่กับมันให้ได้

ยาที่ทานอยู่ ณ ขณะนี้
มื้อเช้า
(ก่อนอาหาร)
1.ยาลดกรด (omeprazole) ชื่อทางการค้า Nocid 20 mg. 1 เม็ด (เลิกทานแล้วเนื่องจากไม่ได้ทานเมตโธแทกเสทแล้ว)
(หลังอาหาร)
1.ซาลาโซไพริน (salazopyrin) (เม็ดสีเหลือง) 500 mg. 2 เม็ด
2.นาโพซิน (naproxen) ชื่อทางการค้า Naprosyn 250 mg. 1 เม็ด  (เลิกทานแล้วเนื่องจากไม่ปวดมากนัก)
3.ลดกรดโฟลิค (folic acid) 5 mg. 1 เม็ด (เลิกทานแล้วเนื่องจากไม่ได้ทานเมตโธแทกเสทแล้ว)
มื้อเย็น
1.ซาลาโซไพริน (salazopyrin) (เม็ดสีเหลือง) 500 mg. 2 เม็ด

วันอาทิตย์
ทาน เมตโธแทกเสท เพิ่มอีก 4 เม็ด พร้อมกับลดกรดโฟลิคไปด้วย (เลิกทานแล้วเนื่องจากค่าอักเสบอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่จำเป็นต้องทาน)


รออัพโหลดใหม่

วิดีโอการเกิดโรคนี้

ข้อมูลโรค AS ที่เกี่ยวข้อง
http://ascannotdo.wordpress.com/tag/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94/

ภาพอินโฟกราฟฟิคแสดงผลที่อาจเกิดกับส่วนต่างๆของร่างกาย
Credit http://www.healthline.com/health/ankylosing-spondylitis/effects-on-body

อัพเดทเพิ่มเติม : 4-6 วันมานี้ ผมจะปวดหลังมากๆในช่วงเช้า คือปวดจนต้องตื่น ไม่สามารถนอนต่อไปได้ เพราะนอนท่าไหนก็ยังจะปวดหลัง(บั้นเอว) อยู่ตลอด ซึ่งไม่เคยเป็นแบบนี้เลย ตั้งแต่ที่พบโรค คล้ายๆจะหนักกว่าเดิมซะอีก เลยกลับมาทานซาลาโซไพรินทั้งเช้าและเย็นอีกครั้ง แต่ก็ยังเป็นอยู่ ไม่รู้ว่าจะหายไปมั้ย ทรมานมากๆ หลังจากที่โรคสงบไปหลายปี เลยหยุดยาไป เดี๋ยวมาอัพเดทอีกครั้งครับ
Updated : 19 มิ.ย. 2019 เวลา 22.01 น. 

หลังจากกลับมาทานยาซาลาโซไพรินอีกครั้ง เช้า 2 เย็น 2 อาการปวดหลังตอนเช้าจนนอนต่อไม่ได้หายไปแล้วครับ โอเคก็แสดงว่ายาปรับภูมิยังเอาอยู่
Updated : 26 มิ.ย. 2019 เวลา 20.58 น. 


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

3 ความคิดเห็น:

  1. Dear Maggie,

    Thank you for your useful information. I already added your infographic page about effects of AS into my current page.

    ตอบลบ
  2. เป็นโรคเดียวกันเลยค่ะ แต่ไม่ทานยา ใช้รักษาแบบทางเลือก ฝังเข็มจะช่วยให้เลือดลมเดินสพดวกลดการอักเสบ และไปคลินิคกายภาพบำบัดข่วยขยับข้อต่อและกล้ามเนื้อให้ยืดหยุ่น เข้าซาวน่าช่วยลดอาการปวดได้ และเล่นโยคะ ก็ทำควบคู่ วนๆกันไป เพื่อยืดอาการของโรคทำให้การเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น เพราะโรคนี้รักษาไม่หายและไม่มียารักษา มีแต่ยาระงับอาการ ดิฉันเป็นมา 10กว่าปีแล้ว ก่อนนั้นแรกๆก็มีอาการเหมือนคุณ เคยเดินไม่ได้เป็นปี

    ตอบลบ
  3. สวัสดีค่ะ หนูก็เป็นโรคนี้เหมือนกันค่ะทรมานมากๆเลยอาการตั้้้งแต่แรกเริ่มจนหนักขึ้นเป็นเหมือนคุณเป๊ะเลยค่ะเป็นมาร่วม2ปีแล้วค่ะเริ่มเป็นตอนอายุ19 บางครั้งต้องตื่นขึ้นมาเพราะความปวดหรือรู้สึกมีอะไรกดทับอกอยู่จนหายใจไม่สะดวกลำบากมากๆเลยค่ะปวดก้นอยู่ตลอดเวลาเคลื่อนไหวลำบากต้องเดินช้าๆกะเพกๆเอา

    ตอบลบ