วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2550

ขับรถวนรอบตาก-แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่ ตอน 1 อีกครั้ง...บนทางหลวงหมายเลข 105 และ 108 ตาก-แม่สอด-ท่าสองยาง-แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน


และแล้วผมก็ได้กลับมาขับรถชมวิวบนเส้นทางที่ใครๆว่าอันตรายอีกครั้งหนึ่งจากที่เคยขับมาแล้วครั้งแรกในบิ๊กทริปครั้งที่สองเมื่อต้นปี 49 ที่ผ่านมา  นั่นคือทางหลวงหมายเลข 105 ซึ่งเริ่มต้นที่ตาก-แม่สอด-แม่ระมาด-ท่าสองยาง-สบเมยไปบรรจบทางหลวงหมายเลข 108 ที่แม่สะเรียง แต่ครั้งนั้นเป็นการขับในทิศทางที่ตรงข้ามกันคือจากแม่สะเรียงมาตัวเมืองตาก

ระยะทางคร่าวๆของเส้นนี้คือประมาณ 300 กม.ซึ่งจะผ่านอุทยานแห่งชาติอยู่หลายแห่ง เช่น อช.ลานสาง อช.ตากสินมหาราช อช.แม่เมย อช.แม่เงา และอช.สาละวิน ตามลำดับ สองข้างทางเต็มไปด้วยธรรมชาติที่รายล้อม ผนวกกับชนพื้นเมืองชาวกระเหรี่ยงและชาวพม่าอพยพ เนื่องจากเป็นเส้นทางที่อยู่ประชิดติดกับชายแดนไทย-พม่า หลายคนจึงค่อนข้างที่จะกลัวเรื่องความปลอดภัยในการที่จะขับรถเส้นทางนี้

ผมเลือกมาเส้นนี้เพราะอยากเปลี่ยนบรรยากาศกับเส้นทางเดิมๆบ้าง อีกอย่างอยากที่จะมาเพื่อค้นหาบ้านห้วยห้อม ซึ่งเป็นโฮมสเตย์เปิดใหม่ของอำเภอแม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอนเขา ซึ่งชาวบ้านจะเลี้ยงแกะเพื่อนำมาทอขนและปลูกกาแฟพันธุ์อาราบีก้า หอมอร่อย เส้นทางนี้ดูจะเหมาะสมสุดแล้วสำหรับนักเดินทางที่ชอบขับรถเป็นชีวิตจิตใจไม่จำเจเช่นเดียวกับผม แต่สุดท้ายโฮมสเตย์ที่ว่านั้นเราจะได้ไปกันหรือไม่ คอยดูกันต่อไป


ออกเดินทางจากแก่งคอยประมาณตีสามครึ่ง พอขับไปได้เกือบจะถึงตัวเมืองสระบุรีก็ต้องย้อนกลับมาที่พักเนื่องจากนึกขึ้นได้มาลืมของสำคัญไป นั่นคือกล้องนั่นเอง ทำให้เสียเวลาอยู่ไม่น้อยทีเดียว รวมๆแล้วก็ครึ่งชั่วโมง

ระหว่างทางฝนตกพอประมาณจนบางครั้งนึกอยากจะเบนเข็มเลี้ยวรถเข้ากรุงเทพกลับบ้านซะเลย แต่สุดท้ายก็ประคองรถและขับมาเรื่อยๆ พอเข้าสิงห์บุรีฝนก็เริ่มซาแล้ว หลังจากนั้นฟ้าก็เริ่มสาง พอมีกำลังใจมากยิ่งขึ้น ประมาณแปดโมงเช้าก็ถึงตากเลี้ยวเข้าเส้น 105 พอดี แวะเติมน้ำมันบางจากเต็มถังแล้ววิ่งต่อ แล้วมาหยุดหาตู้ไปรษณีย์ที่ตลาดมูเซอที่นี่นั่นเอง


ระหว่างทางจากตากมาแม่สอดด้วยระยะทางประมาณ 75 กม. ทางก็คดโค้งไปตามเขา ใครที่ชอบขับรถจะรู้สึกสนุกในการขับเส้นทางนี้ไม่มากก็น้อย แต่การขับด้วยความระมัดระวังก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่พวกเราควรคำนึงถึงนอกเหนือจากธรรมชาติสองข้างทาง

พอเลี้ยวขวาไปตามเส้นทางที่จะไปแม่ระมาด ถนนยังมีรถลาวิ่งอยู่พอควร ยังจะไม่โล่งเท่าไหร่นัก ดูป้ายบอกระยะทางก็ทำให้เรามีกำลังใจขับต่อไป เพราะหนทางนั้นยังยาวไกลอีกมากนัก แต่จะมีบางช่วงที่มีดินร่วงอยู่บ้างโดยสังเกตป้ายบอกให้ดีๆจะได้ระมัดระวังกัน สลับกันไปกับด่านตรวจจากเจ้าหน้าที่ทหารไทย อุ่นใจมิใช่น้อย


ผมหละชอบจริงๆกับเส้นทางที่ไม่มีคนใช้ มันทำให้ผมขับรถสบายมาก เห็นป้ายบอกทางไปถ้ำแม่อุสุตรงไปข้างหน้าแล้วก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่คงได้แค่ขับผ่านปากทางเข้าเฉยๆ คงไม่มีเวลาแวะไป


สองข้างทางก่อนถึงแม่ระมาด ทุ่งข้าวเขียวขจีสลับกับไร่ข้าวโพดที่รอการเก็บเกี่ยว


และแล้วก็มาถึงหมู่บ้านชาวกระเหรี่ยง(หรือเปล่า) หยุดแวะพักถ่ายรูปสักนิด


การปลูกบ้านเรือนแทรกไปตามต้นไม้ไล่ระดับไปตามเนินเขา ดูแล้วเป็นระเบียบและกลมกลืนไปกับธรรมชาติจริงๆ


สองข้างทางจะเห็นชาวกระเหรี่ยงเดินสวนกันไปมาอย่างขวักไขว่ บ้างก็ขึ้นรถสองแถวเพื่อไปยังอำเภอใกล้ๆเช่นท่าสองยาง เป็นต้น  ดังนั้นช่วงนี้ใครขับรถมาก็จะไม่เงียบเหงาหรือน่ากลัวแต่อย่างใดเลย


ชอบโค้งรูปตัว S แบบนี้จังเลย เอาจักรยานมาขี่แถวนี้คงดีไม่น้อย :P


ลืมไปว่าผมเตรียมนำโปสการ์ดมาส่งให้เพื่อนๆชาวคลับเรารักโปสการ์ด แต่เสียดายที่หาตู้แดงไม่เจอที่ตัวเมืองตากหรือละแวกใกล้ๆอช.ตากสินมหาราช เพราะผมทำโปสการ์ดรูปต้นกระบากใหญ่มา เลยนำมาส่งพร้อมกันกับโปสการ์ดที่เป็นรูปถ้ำแม่อุสุที่อ.ท่าสองยางนี้ทีเดียวละกัน


ประมาณ 10:37 น.ก็มาถึงปากทางเข้าถ้ำแม่อุสุ ที่นี่สวยจนได้รับเป็น Unseen in Thailand ซึ่งต้องยอมรับว่าสวยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อยามแสงแดดส่องลงมาผ่านช่วงที่ท้ายถ้ำด้วยแล้ว เกินจะบรรยาย แต่ครั้งนี้เราไม่มีเวลา เลยขอขับผ่านไป (ใครอยากชมความงามถ้ำแม่อุสุ คลิกบิ๊กทริป#2ที่ไปมาที่นี่)


อีกครั้งกับชื่อห้วยแปลกๆ นั่นคือห้วยชิกาโก้ระหว่างทางจากท่าสองยางไปสบเมย


10:57 น. ก็มาถึงยังปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติสบเมย ซึ่งจะต้องเข้าไปอีก 11 กม. แต่เรามาพักรถและทานข้าวกลางวันที่นี้ก่อนจะเดินทางต่ออีกครั้ง


ระหว่างทางมีฝนพรำๆ ทำให้อากาศชื้นจึงมีหมอกลอยละลิ่วอยู่ปลายยอดเขาให้เห็นอยู่ทั่วไปตลอดทั้งเส้นทาง


ระหว่างทางก็มีวิวธรรมชาติให้จอดรถเก็บภาพอยู่เรื่อยๆ เราไม่รีบเร่งอะไรอยู่แล้ว


ไม่น่าเชื่อว่ามีน้ำตกอยู่ชิดติดถนนซะขนาดนี้ ตอนขับมาเส้นนี้เมื่อครั้งก่อน ผมจำไม่ได้ว่ามีหรือเปล่า ดูมันใหม่ๆชอบกล แต่ก็สวยไปอีกแบบ


น้ำตกนี้มีชื่อว่าน้ำตกทีมอโบ ยังอยู่ในเขตอ.ท่าสองยางครับ


และแล้วสิ่งที่ไม่ต้องการก็มาจนได้ ฝนนั่นเอง เทลงมาพักใหญ่ ดันมาตกตรงช่วงที่เป็นทางขึ้นเขาและถนนไม่ดีอีกต่างหาก เสียวๆว่าดินจะถล่มจังเลย แต่สุดท้ายก็ต้องฝืนใจขับต่อไป


ผมเห็นดอกนี้เด่นมาแต่ไกลเลย จะพบเจออยู่ตลอดทั้งสองข้างทาง โดยจะแซมใบไม้สีเขียวๆ ทำให้สะดุดตาเมื่อขับรถผ่าน อยากรู้จังมีชื่อว่าดอกอะไร


สองข้างทางจะเจอกับฝูงวัวและแพะอยู่ตลอด นอนกลางถนนเฉยก็มี ใครขับมาเส้นนี้ก็ระวังหน่อยละกันครับ


บ่ายโมงยี่สิบสี่ถึงอช.แม่เงาซึ่งตั้งอยู่ในเขตอ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอนแล้ว เช่นเคยว่าเราไม่ได้แวะ ขับผ่านต่อไป (ข่าวดีคือ ในมกราคม ปี 2008 ผมได้กลับมาที่อช.แม่เงาแบบพักค้างคืนและล่องแพที่นี่จนได้ คลิกเพื่อชม)


จริงๆจุดหมายปลายทางเราอยู่ที่บ้านห้วยห้อม อ.แม่ลาน้อย ซึ่งเราตั้งใจจะมาพักแบบโฮมสเตย์ที่นี่ แต่พอขับรถขึ้นเขาไปได้กลางทางคือ 15 กม.ทางจากลาดยางก็เป็นดังที่เห็น จริงๆถ้าฝนไม่ตกก็น่าจะไปได้แต่ฝนดันตกเลยให้ให้ถนนลูกรังเป็นดังสภาพที่เห็น มีน้ำเจิ่งนอง และยังมีอย่างนี้อีกหลายจุดกว่าจะถึง จากการสอบถามกับชาวบ้านที่ขับรถสวนมา เลยเป็นอันว่ายกเลิก ! กลัวรถจะมาพังน้ำเข้าซะก่อน ครั้นจะจอดรถไว้ที่บ้านชาวบ้านละแวกนี้แล้วโบกรถเข้าไปก็เกรงว่ารถจะหาย เลยเบนเข็มขับรถไปแม่ฮ่องสอนดีกว่า ไหนๆก็มาแล้ว


แพะแบะๆหยุดยืนจ้องหน้าระหว่างทาง ที่นี่เขาเลี้ยงไว้เยอะเชียว


ใกล้เย็นเต็มทีแล้ว ลงมาจากดอยจากขุนยวมเข้าเขตตัวเมืองแม่ฮ่องสอนแล้ว เจอวัดสถาปัตยกรรมแบบไทย-พม่าเป็นปกติของที่นี่


อีกจุดหนึ่งที่เห็นวิวขุนเขาน้อยใหญ่หลังจากที่เพิ่งผ่านมาหยกๆ เลยแวะชักภาพเก็บไว้ข้างทาง


ที่ไหนได้ ฝรั่ง 2 คู่ที่ขี่มอเตอร์ไซด์มา ก็เลียบแบบผมหยุดถ่ายรูปเช่นเดียวกัน ขำเลย


เรามาถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 6 โมงเย็น อันดับแรกคือหาที่พักก่อน เลยนึกชื่อเฟิร์นริมธารรีสอร์ทจากกระทู้แม่น้องมีนได้ เราเลยขับเข้าไปดู แต่ไม่เวิร์คและราคาสูงไปด้วย แม้ว่าจะเป็นหน้าโลว์ก็ตาม เลยกลับไปใช้บริการพนาฮัทส์เช่นเดิม และก็ไม่ผิดหวัง เจอกับพี่ศรีทัย จำเราได้และมีที่พักด้วย เพราะมีเราเจ้าเดียวอีกแล้ว เลยจองไว้แล้วย้อนไปนมัสการพระธาตุดอยกองมูที่อยู่ใกล้ๆ พร้อมๆกับรายงานสดแบบ Report online เช่นเคย


แสงพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าไปทุกทีแล้ว


เวลาผ่านไปสักเท่าใด สิงห์สองตัวก็ยังนั่งเฝ้าเมืองสามหมอดอยู่มิคลาย


ก่อนลงไปจากดอยกองมู ขอเก็บภาพสุดท้าย มาแม่ฮ่องสอน(ตัวเมือง)ครั้งไหน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ไม่ได้มานมัสการพระธาตุดอยกองมู


ต่อจากนั้นก็ลงไปยังหนองจองคำ มาทานข้าวที่นี่ ยามนี้คนน้อย นักท่องเที่ยวไม่ค่อยมีเนื่องจากเป็นหน้าโลว์ทำให้ตัวเมืองแม่ฮ่องสอนเงียบไปถนัดตา เงียบจนอาจจะเหงาได้เลย

แล้วติดตามกันตอนต่อไปในวันรุ่งขึ้น ตอนกลับบนเส้นทาง 1095 แม่ฮ่องสอน-ปางมะผ้า-ปาย-เชียงใหม่ ขอจบด้วยรูปพระเจดีย์วัดจองกลางยามค่ำคืนครับ ขอบคุณเพื่อนๆที่เข้ามาอ่านและติดตาม ราตรีสวัสดิ์ครับ (_/\_)


เห็นว่าบทความนี้น่าสนใจ รบกวนกดแชร์ด้วยครับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น